This is default featured post 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured post 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured post 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured post 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured post 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความหมายของข่าว

หลายคนดูข่าวใน www.forexfactory.com แต่ไม่รู้ความหมายของข่าวนั้นว่าแปลว่าอะไร ตัวเลขออกมาแล้วจะส่งผลยังไง วันนี้ผมก็เลยหาความหมายของข่าวมาให้นะครับ

ตารางข่าวเศรษฐกิจจาก ForexFactory

จากตารางข่าวด้านบน จะประกอบด้วย Date(วันที่) ,Time (เวลา), Currency(ค่าเงิน), Impact(ความแรงของข่าว) ,Actual (ตัวเลขที่ออกจริง),
forecast(ตัวเลขคาดการณ์จากนักวิเคราะห์) ,previous(ตัวเลขที่ออกก่อนหน้านั้น)Impact
สีแดงจะเป็นข่าวที่มีความสำคัญมากที่สุด รองลงมาคือสีส้ม และสีเหลือง
และสีข่าวจะแสดงว่าเป็นวีนหยุดของตลาดของประเทศนั้นและตัวเลขจริงที่ออก มาActual ตัวเลขที่ออกมาจะมี 3 สีด้วยเช่นกัน
คือ
สีเขียวคือข่าวดี
สีแดงคือข่าวไม่ดี
สีดำคือไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ทั้งนีี้้ก็ขึ้นอยู่กับความแรงของข่าวด้วย Impact ถ้าข่าว High Impact สีแดง
และตัวเลขที่ประกาศออกมา เป็นสีเขียวหรือสีแดง ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น-ลงประมาณ 100 pips ขึ้นไป
-วิธีการเก็งกำไรจากข่าวในตาราง Forexfactory ให้รอดูตัวเลขจริง Actual ออกมาก่อนนะครับ เมื่อตัวเลขจริง(actual)ออกมามากกว่าเมื่อเทียบกับตัวเลขที่คาดการณ์(forecast)ไว้จะส่งผลทำให้ดีกับค่าเงินนั้นๆ แต่ถ้าตัวเลขจริงออกมาน้อยกว่าตัวเลขที่คาดการณ์ไว้จะส่งผลเสียกับค่าเงินนั้นๆ เช่น ถ้าข่าวของ USD ออกมามากกว่า
ตัวเลขคาดการณ์(Forecast) จะทำให้ USD / XXX ขึ้น และทำให้ XXX / USD ลง ( XXX คือ ค่าเงินของประเทศนั้นๆเมื่อเทียบกับดอลล่าห์สหรัฐ(USD)อาทิเช่น JPY CHF CAD AUD NZD GBP )
ถ้าข่าว Gross Domestic Product หรือ GDP ของอังกฤษ(GBP) ตัวเลขออกมามากกว่าที่ตัวเลขที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์เอาไว้จะส่งผลให้กราฟของ GBP/USD , GBP/JPY,GBP/CHF ขึ้น และกราฟ EUR/GBP จะลง

ระดับความสำคัญของปฏิทินเศรษฐกิจ

1. สำคัญมาก
ชื่อก็บอกอยู่ แล้วว่าสำคัญมาก ซึ่งจะเป็นข่าวและตัวเลขที่มีผลกระทบกับค่าเงินของประเทศนั้น ๆ อย่างแรง เมื่อตัวเลขประกาศแล้ว จะมีปริมาณการซื้อขายที่สูงมาก ๆ ซึ่งจะส่งผลอยู่ประมาณ 5 – 10 นาที เราอาจจะได้เห็นกราฟเป็นแท่งยาว ๆ ทั้งขึ้น และ ลง ในเวลาเดียวกัน

2. สำคัญ
อันนี้ก็สำคัญ ก็จะส่งผลกระทบกับตลาดเงินมากแต่น้อยกว่า “สำคัญมาก” อยู่นิดนึง ซึ่งก็จะส่งผลให้มีกราฟยาว ๆ (แต่ขนาดของแท่งจะสั้นกว่าแบบแรก)

3. ทั่วไป
อัน นี้จะเป็นข่าวเศรษฐกิจทั่ว ๆ ไป มีผลบ้างเล็กน้อยถึงปานกลาง หากประกาศวันเดียวกับ 2 ตัวบน อาจจะไม่ส่งผลอะไรสำคัญเลย แต่ถ้าประกาศตัวเดียว โดด ๆ อาจมีผลบ้างโดยหากสวนทางกับ 2 ตัวข้างบนอาจทำให้ตลาดนำข่าวนี้มาเล่นได้ เพราะจะเป็นตัววัดอย่างหนึ่งว่า ตัวเลขอื่นอาจจะหลอกลวงได้


คราวนี้ตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศนั้นเกี่ยวอะไรกับราคาทองคำ

โดยปกติราคาทองคำจะขึ้นอยู่กับ

1. อัตราแลกเปลี่ยนของ USD
2. ราคาน้ำมัน
3. ราคาของโลหะพื้นฐาน และ โลหะอื่น พวก ทองแดง เงิน แพตตินั่ม พาลาเดียม
4. อื่น ๆ (ยังนึกมะออกจ้ะ)

คราวนี้ตัวเลขที่ประกาศจะกระทบกับ 2 อย่างตรง ๆ คือ อัตราแลกเปลี่ยน กะ ราคาน้ำมัน


แล้ว 2 ตัวนี้มีความเกี่ยวข้องกะราคาทองคำอย่างไร?

1. อัตราแลกเปลี่ยน โดยปกติ ถ้าไม่มีข่าวอย่างอื่น (หมายถึงพวกข่าวก่อการร้าย ภัยธรรมชาติ ฯลฯ) ที่มีน้ำหนักมากกว่า อัตราแลกเปลี่ยนก็จะมีผลตรง ๆ โดยไม่มีอย่างอื่นมาทำให้ราคาเพี้ยนไปจากเดิม โดยปกติแล้ว ทองคำจะขึ้นเมื่อ USD อ่อนค่า และ ทองคำจะลง เมื่อ USD แข็งค่า
แล้วคำที่ว่าอ่อนค่า กับ แข็งค่า เนี่ย เค้าเทียบกะสกุลไหนบ้าง โดยปกติแล้วจะดูที่ 2 สกุลใหญ่ ชื่อ JPY และ EUR หากสองอันนี้ไปในทิศทางเดียวกัน ก็แสดงว่า USD อ่อน หรือ แข็งจริง ๆ จ้ะ

2. ราคาน้ำมัน จะเป็นตัวช่วยดัน หรือ ฉุด ราคาทองคำในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมัน


เอาละ... มาดูกันว่าโดยปกติปฏิทินเศรษฐกิจที่เค้าขยันประกาศตัวเลขกันมีอะไรบ้าง (มันอาจจะไม่ครบทุกอย่างนะ)


ระดับที่เรียกว่าสำคัญมากมีอะไรบ้าง...

ลำดับ ชื่อในปฏิทิน

1 Non farm Payrolls
2 Unemployment Rate
3 Trade Balance
4 GDP ( Gross Domestic Production )
5 PCE Price Deflator ( Personal Consumption Expenditure)
6 CPI ( Consumer Price index )
7 TICS ( Treasury International Capital System )
8 FOMC ( Federal open Market committee meeting )
9 Retail Sales
10 Univ. Of Michigan Consumer Sentiment Survey
11 PPI ( Producer Price Index )


ระดับที่เรียกว่าสำคัญ...

ลำดับ ชื่อในปฏิทิน

12 Weekly Jobless Claims
13 Personal Income
14 Personal spending
15 BOE Rate Decision ( Bank Of England )
16 ECB Rate Decision ( Europe Central Bank )
17 Durable Goods orders
18 ISM Manufacturing Index ( Institute of Supply Manager )
19 Philadelphia Fed. Survey
20 ISM Non-Manufacturing Index
21 Factory Orders
22 Industrial Production & Capacity Utilization
23 Non-Farm Productivity
24 Current Account Balance
25 Consumer Confidence ( Consumer Sentiment )
26 NY Empire State Index - ( New York Empire Index )
27 Leading Indicators
28 Business Inventories
29 IFO Business Index ( Institute of IFO in Germany )


ระดับปานกลางถึงทั่วไป โดยมากใช้เป็นตัววัดพื้นฐาน...
ลำดับ ชื่อในปฏิทิน

30 Housing Starts
31 Existing Home sales
32 New Home Sales
33 Auto and Truck sales
34 Employee Cost Index - Labor Cost Index
35 M2 Money Supply - Money Cost
36 Construction Spending
37 Treasury Budget
38 Weekly Chain Stores - Beige Book -Red Book
39 Whole Sales Trade
40 NAPM ( National Association of Purchasing Management)
กลุ่มสำคัญมาก

Trade Balance
โดยปกติประกาศทุกวันที่ 20 ของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของ 2 เดือนก่อนหน้านี้ โดยการประกาศจะบอกให้รู้ถึงทิศทางของการส่งออกและการนำเข้า ซึ่งตัวเลข Trade Balance จะสามารถคาดคะเนตัวเลข GDP ในอนาคตได้ ตัวเลข Trade Balance จะนำค่าตัวเลข Export ลบกับ ตัวเลข Import หากผลที่ออกมามีค่าเป็น + จะหมายถึงเศรษฐกิจที่ดี และมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย

Gross Domestic Product หรือ GDP
จะ ประกาศทุก ๆ สัปดาห์ที่ 3 หรือ 4 ของเดือน โดย GDP คือตัววัดที่กว้างที่สุดเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจ การที่ตัวเลข GDP เปลี่ยนแปลงไปจะหมายถึงความเปลี่ยนแปลงของอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งจะบ่งบอกเกี่ยวพันถึงอัตราเงินเฟ้อ การที่ตัวเลข GDP เพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย

Personal Consumption Expenditure หรือ (PCE)
ประกาศ ทุก ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน โดย PCE จะบอกถึงการอุปโภคบริโภคของภาคครัวเรือน โดย PCE จะบ่งบอกถึงความสามารถในการจับจ่ายของภาคครัวเรือน โดยตัวเลข PCE ที่สูงจะบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่เติบโต ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Consumer Price Index หรือ CPI
ประกาศ ทุก ๆ วันที่ 13 ของเดือน โดย CPI จะเป็นตัววัดเกี่ยวกับระดับราคาของสินค้าและบริการที่ซื้อโดยผู้บริโภค CPI ที่เห็นประกาศกันจะมี CPI กับ Core CPI ซึ่งต่างกันตรงที่ว่า Core CPI จะไม่รวม ภาคอาหารและ ภาคพลังงานโดยปกติ CPI จะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงอัตราเงินเฟ้อ โดยตัวเลข CPI ที่สูงจะเป็นตัววัดเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง

Treasury International Capital System หรือ TICS
ประกาศ ทุกวันที่ 5 ของการทำงานในแต่ละเดือน โดย TIC จะรวบรวมข้อมูลของ US เพื่อดูว่าการลงทุนของคน US และ คนต่างชาติเป็นอย่างไรบ้าง โดยหากข้อมูล TICS เป็นตัวเลขที่สูงจะหมายถึงเศรษฐกิจของ US ที่แข็งแกร่งซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Federal Open Market Committee หรือ FOMC
จะ ประชุมเมื่อไร ไม่มีตายตัวแน่นอน แล้วแต่เค้าจะนัดกัน โดยการประชุมจะดูภาพรวมและผลของการประชุมที่สนใจกันคือเรื่องของอัตรา ดอกเบี้ย การปรับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Retail Sales
ประกาศ ทุกวันที่ 13 ของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของเดือนที่แล้ว โดยจะวัดจากใบเสร็จของการค้าปลีก ซึ่งโดยปกติจะมองในภาพของสินค้า ซึ่งจะไม่สนใจเรื่องของบริการ และอื่น ๆ (เช่นพวกค่าเบี้ยประกัน หรือค่าทนาย) Retail Sales ที่ไม่รวมการซื้อรถ จะเรียกว่า Core Retail Sales โดยการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขการขายจะหมายถึงราคาที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้หมายถึงความต้องการซื้อที่ลดลง การที่ตัวเลข Retail Sales มีตัวเลขที่สูงหมายถึงเศรษฐกิจที่ดีและแข็งแกร่ง ซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

University of Michigan Consumer Sentiment Index
ออก ทุกวันศุกร์ที่สองของเดือน โดย Michigan Index จะเปรียบเทียบระหว่างดัชนีสองตัวคือ สิ่งที่คาดหวัง และ สิ่งที่เป็นไปจริง ๆ ถ้าสิ่งที่คาดหวังไว้และสิ่งที่เป็นจริงมีค่าใกล้เคียงกัน หมายถึงเศรษฐกิจเป็นไปในแนวทางเดียวกับที่หวังไว้ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Producer Price Index หรือ PPI
ประกาศ แถว ๆ วันที่ 11 ของเดือนซึ่งจะเป็นข้อมูลของเดือนก่อน PPI จะเป็นตัววัดราคาของสินค้าในมุมมองของการค้าส่ง PPI ที่ไม่รวมพวกอาหารและพลังงานจะเรียกว่า Core PPI ซึ่งจะถูกจับตามองมากกว่า เพราะจะมีผลกับอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจาก PPI จะเป็นตัวที่ออกมาก่อน CPI หาก PPI มีค่าสูงมักจะทำให้ CPI มีค่าที่สูงตามไปด้วย ดังนั้นการที่ PPI มีค่าสูงจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง

กลุ่มสำคัญ

Initial Weekly Jobless Claims
ประกาศทุกวัน พฤหัส จะเป็นข้อมูลของสัปดาห์ปัจจุบันรวมถึงวันศุกร์ที่แล้วด้วย ซึ่งจะบอกถึงการว่างงาน โดยปกติจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงได้จากข้อมูลก่อนหน้าย้อนหลังไปราว ๆ 4 สัปดาห์ แล้วมาทำเป็นกราฟ ทั่วไปแล้วหากมีความเปลี่ยนแปลงเกิน 30,000 จะเป็นสัญญาณบอกถึงการจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไป (อาจจะดีขึ้นหรือแย่ลง) ตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นหมายถึงคนว่างงานที่มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินอ่อนค่าลง

Personal Income
ประกาศ แถว ๆ วันที่ 5 ของการทำงานในแต่ละเดือน Personal Income เป็นตัววัดเกี่ยวกับรายได้ (ไม่สนว่าจะได้มาจากไหน เช่นพวก ค่าเช่า, ได้มาจากรัฐ, เงินเดือน, ดอกเบี้ย หรืออื่น ๆ) โดยตัวนี้จะเป็นตัวชี้ถึงความต้องการในการบริโภคในอนาคต (แต่ไม่เสมอไปนะ เพราะบางทีรายได้ที่มากขึ้น แต่คนอาจจะไม่จับจ่ายใช้สอยก็ได้) ตัวเลข Personal Income ที่สูงจะหมายถึงอำนาจในการซื้อและเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเศรษฐกิจน่าจะดี ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Personal Spending
ประกาศ แถว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า Personal Spending จะเป็นตัวเลขเกี่ยวกับรายจ่ายของบุคคล การจับจ่ายที่ลดลงจะหมายถึงรายได้ที่ลดลง ซึ่งจะทำให้กระแสเงินโดยรวมลดลง (แต่ก็เช่นเดียวกับ Personal Income บางทีการจ่ายลดลงไม่ได้หมายถึงรายได้ที่ลดลง แต่อาจจะไม่อยากจะจับจ่ายก็เป็นได้) ตัวเลขการจับจ่ายที่มากขึ้น จะเป็นสัญญาณที่บ่งว่าเศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Europe Central Bank (ECB), Bank Of England (BOE), Bank Of Japan (BOJ)
การ ประกาศตัวเลขอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ US จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้น ๆ เปลี่ยนแปลงไป โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น โดยปกติการปรับอัตราดอกเบี้ยจะคำนึงถึง 2 อย่างคือ
- อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (อาจจะอ่อนไป หรือแข็งไป)
- อัตราเงินเฟ้อ และเงินฝืด

ECB ประกอบไปด้วย 25 ประเทศในยุโรป คือ Italy, France, Luxembourg, Belgium, Germany, Netherlands, Denmark, Ireland, United Kingdom, Greece, Spain, Portugal, Austria, Finland, Sweden, Czech Republic, Estonia, Cyprus, Latvia, Lithuania, Hungary, Malta, Poland, Slovakia และ Slovenia

Durable Goods Orders
ประกาศ แถว ๆ วันที่ 26 ของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของเดือนก่อน โดยจะเป็นตัววัดปริมาณของการสั่งสินค้า การส่งสินค้า โดยจะเป็นตัววัดถึงภาคการผลิต ซึ่งหากว่าเศรษฐกิจมีปัญหาจะส่งผลให้ปริมาณการสั่งสินค้าลดลง ตัวนี้จะเป็นเหมือนตัวบอกถึง GDP และ PDE การที่ตัวเลข Durable Goods Orders มีค่าที่มากขึ้น จะบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Institute of Supply Management หรือ ISM
ออก ทุกวันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า ตัวนี้จะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงภาคการผลิต ซึ่งรวบรวมข้อมูลอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับ การสั่งซื้อสินค้าใหม่, การผลิต, การจ้างงาน, สินค้าคงคลัง, เวลาในการขนส่ง, ราคา, การส่งออก และการนำเข้า การที่ตัวเลข ISM มีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจะแสดงถึงเศรษฐกิจที่ดี และสามารถทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นได้

Philadelphia Fed Survey
ออก ราว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า โดยการสำรวจนี้จะมองมุมกว้างในทิศทางของภาคการผลิต ซึ่งจะมีความสัมพันธ์ร่วมกับ ISM ที่มองเป็นลักษณะของการผลิตเป็นตัว ๆ ไป โดย Philadelphia Fed Survey จะบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของยุทธวิธีของผู้ผลิต ประกอบด้วย ชั่วโมงการทำงาน, พนักงาน และอื่น ๆ ซึ่งตัววัดตัวนี้มีความสำคัญมากในระบบเศรษฐกิจ การที่ตัวเลขเพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น

ISM Service Index หรือ Non-Manufacturing ISM
ออก ราว ๆ วันที่สามของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน ซึ่งเป็นการสำรวจของกลุ่ม การเงิน, ประกันภัย, อสังหาริมทรัพย์, สื่อสาร และ ทั่วไป การที่ตัวเลข ISM เพิ่มขึ้นหมายถึง demand ที่เพิ่มขึ้น และทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Factory Orders
ออกราว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน Factory Order เป็นการวัดการสั่งสินค้าทั้งหมด การสั่งสินค้าที่สูงหมายถึง demand ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Industrial Production
ออกราว ๆ กลางเดือน เป็นข้อมูลย้อนหลัง 1 เดือน ซึ่งเป็นตัววัดว่าการผลิตของอุตสาหกรรมได้ผลออกมาจริง ๆ เท่าไร การที่ตัวเลขออกมาสูงขึ้นหมายถึง demand ที่เพิ่มขึ้น มีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Non-Farm Productivity
ออก ราว ๆ วันที่ 7 ของเดือนที่ 2 ของ ควอเตอร์ เป็นข้อมูลของควอเตอร์ที่แล้ว อันนี้เป็นตัววัดของผลงานของคนงานและต้นทุนในการผลิตของสินค้า ในสถาวะที่เงินเฟ้อมีความสำคัญตัวเลขนี้ สามารถที่จะทำให้ตลาดเคลื่อนไหวได้ โดยถ้าตัวเลขที่ลดลงสามารถบอกถึงอนาคตที่เปลี่ยนไป เช่นตัวเลข GDP ที่ดี แต่ถ้าตัวเลขนี้ขัดกันก็สามารถทำให้ตลาดมีผลกระทบได้ การที่ตัวเลข Non-Farm Productivity เพิ่มขึ้น หมายถึงการยืนยันในเรื่องของพื้นฐานของเศรษฐกิจที่ดี และส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Current Account Balance
ออก ราว ๆ วันที่ 7 ของเดือนที่ 2 ของ ควอเตอร์ เป็นข้อมูลของควอเตอร์ที่แล้ว Current Account Balance จะบอกถึงความแตกต่างของเงินสำรอง และการลงทุน ตัวนี้เป็นตัวสำคัญในส่วนของการซื้อขายกับต่างประเทศ ถ้า Current Account Balance เป็น + จะหมายถึงเงินออมในประเทศมีสูง แต่ถ้าเป็น - จะหมายถึงการลงทุนภายในประเทศเป็นเงินจากต่างประเทศมาลงทุน ถ้า Current Account Balance เป็น + ส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Consumer Confidence
ออก ทุกวันอังคารสุดท้ายของเดือน เป็นข้อมูลเดือนปัจจุบัน เป็นการสำรวจในแต่ละครัวเรือน โดยตัวเลขตัวนี้จะมีความสัมพันธ์กับเรื่องของ การว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ และรายได้ที่แท้จริง การที่ตัวเลขมีค่าที่เพิ่มมากขึ้นหมายถึงเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ค่าเงินแข็งค่า

NY Empire State Index
ออกทุกสิ้นเดือน โดยเป็นการสำรวจจากผู้ผลิต หากตัวเลขมีค่ามากขึ้น จะทำให้ค่าเงินแข็งค่า

Leading Indicators
ออก ราว ๆ สองสามวันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน ซึ่งจะเป็นบทสรุปของตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ ประกอบไปด้วย New Order, Jobless Claim, Money Supply, Average Workweek, Building Permits และ Stock Prices

Business Inventories
ออกราว ๆ กลางเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการขายและสินค้าคงคลังจากภาคการผลิต การค้าส่ง และการค้าปลีก ตัวเลขที่สูงขึ้นของ Business Inventory หมายถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ดี ซึ่งทำให้ค่าเงินแข็งค่า

IFO Business Indexes
ประกาศ ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลเดือนก่อน ซึ่งเป็นตัวที่ดูเกี่ยวกับภาคธุรกิจของประเทศเยอรมัน ตัวเลขที่สูงหมายถึงเศรษฐกิจที่ดี จะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ตัวอย่างการทำกำไรจากฟอเร็กจากเงิน 5$ เป็น 20480$ ภายใน 1 ปี

ตารางการทำกำไรจากเงินฟรี จาก Marketiva จาก 5$ เป็น 20480 ภายใน หนึ่งปี คุณก็สามารถทำได้ หากทำตามแผนนี้



จากตาราง เป็นแผนการทำกำไรภายในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งเราเริ่มจาก 5 เหรียญ ที่ได้มาฟรีๆจาก Marketiva แถวที่สองเป็นจำนวนจุดต่อเดือน แถวที่สามคือ จำนวนจุดต่อวันและแถวที่สี่เป็นเปอร์เซนต์ของเงินลงทุนของเรา ซึ่งถ้า % เงินลงทุนน้อย จำนวนจุดต่อวันก็จะมาก แต่ถ้า % ของเงินลงทุนเยอะ จำนวนจุด ที่ต้องการต่อวันก็จะน้อยลง ซึ่งก็มีความเสี่ยงมากกว่าด้วยยกตัวอย่างนะครับ เราจะเล่นที่ 5 % ของทุน คือ 0.25 เหรียญคงที่ตลอดระยะเวลา 1เดือนเราต้อง ทำกำไรวันละ 100 จุด (pips) และต้องทำให้ได้ 2000 จุด ภายใน 1 เดือน และทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เมื่อครบกำหนด 1 ปี เราก็จะมีเงิน 20480 เหรียญ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากโดยที่เราจะต้องสามารถควบคุมอารมณ์และความโลภของเราให้ ได้และศึกษาการใช้เครื่องมือต่างๆ ในการเข้าเทรด เพียงแค่นี้เราก็สามารถทำเงินก้อนใหญ่ได้จากฟอเร็กซ์แล้ว

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การใช้ Trend Line

Trendline เป็นเครื่องมือที่สามารถใช้บอกแนวโน้ม(Trend) การกลับตัวของกราฟ(Reversal Chart) แนวรับแนวต้าน (Support and Resistance Trendline) เทรนไลน์เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เทรดเดอร์บางคนใช้แค่เทรนไลน์เพียงอย่างเดียวก็สามารถทำกำไรจากตลาดได้
เรามาดูวิธีใช้กันเลยดีกว่าครับ
1.ไปที่ Insert >>> Line แล้วเลือก Trendline ขึ้นมา
2.จากนั้นนำเทรนไลน์มาลากบนกราฟ โดยลากจากจุดแรกไปยังจุดสอง โดยกดเม้าท์ค้างไว้ ลองดูนะครับ


Uptrend คือราคาขึ้นไปเรื่อยๆ และไม่สามารถลงมาทะลุเส้นเทรนไลน์ที่ขีดไว้ได้
Down Trend คือราคาลดลงมาเรื่อยๆ และไม่สามาถกลับขึ้นไปทะลุเส้นเทรนไลน์ที่ขีดไว้ได้
Sideway Trend คือ ราคาเคลื่อนที่อยู่ในช่วงแคบๆ สวิงขึ้นลง ไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจน (ไม่ควรเทรด)

วิธีการเก็งกำไรโดยใช้เทรนไลน์เพียงอย่างเดียว
1. Buy เมื่อราคาทะลุเส้น DownTrend Line ขึ้นไป และราคาต้องสร้าง แนวโน้มขาขึ้นก่อนหนึ่งช่วง คือ Low ใหม่ ต้องสูงกว่า Low เก่า ดังรูปด้านล่าง
เมื่อราคาลงมาที่ X แล้วขึ้นไปที่ A เพื่อสร้างแนวโน้มขาขึ้น แต่ไม่สามารถผ่าน DownTrend Line ราคาลงมาอีกครั้งที่ตำแหน่ง B แต่ทำราคาต่ำ สูงกว่าจุด X จากนั้นราคาดีดตัวขึ้นไปในครั้งนี้ ราคาทำ High สูงกว่ายอด A ซึ่งจะบอกเราว่า เทรนกำลังจะเปลี่ยน เพราะราคาสามารถทะลุเส้นแนวโน้มขาลง (DownTrend Line ) ด้วย จากนั้นให้เรา ลากเส้น UpTrendline ลากจากจุด X มาเทียบกับจุด B ถ้าราคาปรับตัวลงมาจากจุด C แล้วลงมาหา จุด D แล้วไม่สามารถผ่านเส้น Uptrend Line เส้นแนวโน้มขาขึ้นได้ ให้เปิด Buy ได้เลยครับ

2.Sell เมื่อราคาทะลุเส้น UpTrend Line ลงมา และราคาต้องสร้างแนวโน้มขาลงก่อนหนึ่งช่วง คือ High ใหม่ ต้องต่ำกว่า High เก่า ดังรุป ครับ


จากรูปด้านบนเราจะเข้า Sell เมื่อราคาทำ XABCD เสร็จสมบูรณ์ครับ Sell ที่ตำแหน่ง D
ผมหวังว่าวิธี้นี้คงทำกำไรให้กับทุกคนนะครับ
ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะครับ ติชมกันได้ ข้อเสีย ข้อด้อย ของระบบนี้ ติชมกันได้ครับ
ขอบคุณมากครับ

การใช้เครื่องมือต่างๆในโปรแกรมเทรดMT4

ในหัวข้อนี้ผมจะรวบรวมวิธีใช้เครื่องมือต่างๆในโปรแกรมเทรดMT4 ให้เพื่อนๆได้ลองศึกษากันนะครับ

London Forex Rush System

สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้ผมขอแนะนำระบบเทรด หรืออาจจะเรียกว่า Strategy กันก็ได้ เพราะระบบนี้ค่อนข้างจะไม่ได้ใช้อินดิเคเตอร์กันเลยทีเดียว ง่ายๆ เทรดเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็เห็นผล หลายคนคงปวดหัวกับการนั่งดู นั่งเฝ้ามองดูว่า อินดิเคเตอร์ มันจะตัดกันหรือยัง วิธีนี้อาจจะช่วยเพื่อนๆให้สร้างกำไรได้ สำหรับผมเอาใช้ระบบนี้ เมื่อมีสัญญาณที่ชัดเจน
หลักการของระบบนี้ ผมจะอธิบายแบบคร่าวๆนะครับเพื่อนๆ มีคู่มือให้ดาวโหลดกันในท้ายบทนี้นะครับ มีดูกันเลย ว่าระบบนี้มีหลักการยังไงกันบ้าง
1.ระบบนี้เล่นแบบ Open Range Breakout คือหาราคาต่ำสุดและสูงสุดของตลาดโตเกียวก็คือในช่วงเช้าบ้านเรา เพราะว่าตลาดในช่วงเช้าจะไม่ค่อยผันผวนมากนัก จะวิ่งในกรอบราคาแคบๆ
2.ระบบนี้ใช้เล่นกับค่าเงิน GBP เพียงอย่างเดียว ซึ่งมีทั้งหมด 6 คู่เงิน ได้แก่ GBP/USD GBP/JPY GBP/CHF GBP/CAD GBP/AUD และ GBP/NZD เหตุผลที่เลือกค่าเงิน จี ก็เพราะว่า มีการเคลื่อนที่ ที่เร็ว ผันผวนมาก ซึ่งระบบนี้เหมาะกับค่าเงิน GBP ที่สุด
3. การเข้าออเดอร์ Long เมื่อราคา ทะลุ High ของช่วงตลาดโตเกียว และเข้าออเดอร์ Short เมื่อราคาทะลุ Low ของช่วงตลาดโตเกียว
4.การตั้ง Stop Loss ทำได้ หลายวิธี แต่ผมขอยกวิธีนี้มาให้ใช้ ตั้ง Stop loss ของ Long ที่ราคา Low ของ ตลาดโตเกียวต่ำลงไปอีก 5 จุด และตั้ง Stop Loss ของออเดอร์ Short ที่ราคา High ของตลาดโตเกียวสูงขึ้นไปอีก 5 จุด ( อาจจะงงนะครับ เด๋วดูรูปกัน แล้วจะร้อง อ๋อ !!! )

มาดูวิธีเซตกราฟกันเลยครับ
1. ดาวโหลดระบบเทรดนี้ที่นี่ ระบบเทรดนี้จะมี 2 ไฟล์ คือ File Indicators และ Template ให้เราไฟล์
LondonForexRush.ex4 และ MarketTrend.ex4 ไปใส่ไว้ใน My Computer >> Disk C >> Programfiles >>> Instatrader(แล้วแต่ว่าท่านเลือกใช้ Mt4 ของโบรกเกอร์ไหนนะครับ) >>> Experts>>Indicators แล้ว Paste เลยครับ
ต่อจากนั้นก็ไปเอา File Templates ที่มีอยู่ไฟล์เดียวชื่อ LondonForexRush.tpl ไปเก็บไว้ที่ My Computer >> Disk C >> Programfiles >>> Instatrader(แล้วแต่ว่าท่านเลือกใช้ Mt4 ของโบรกเกอร์ไหนนะครับ) >>>Templates แล้ว Paste เลยครับ
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วให้เปิดโปรแกรมเทรด MT4 ขึ้นมาครับ
2. เลือกค่าเงิน GBP ทั้งหมด 6 คู่กันก่อนเลยครับ ได้แก่ GBP/USD GBP/JPY GBP/CHF GBP/CAD GBP/AUD และ GBP/NZD เลือก Time Frame 1H นะครับ ทุกกราฟ
3.เมื่อเลือกกราฟทั้งหมดหกกราฟแล้ว ขยายหน้าจอให้เต็มจอ โดยการกด F11 หรือไปที่ View >> Full Screen เพื่อให้กราฟดูใหญ่
4.คลิกขวาที่ Chart แล้วเลือก Template จากนั้นเลือก London Forex Rush
5.จากนั้นไปที่ แท็บ Window ที่โปรแกรม MT4 แล้วเลือก Tile Vertically จะได้กราฟทั้งหมดดังรูปด้านล่างครับ


เราจะได้กราฟทั้งหมดกราฟ หก กราฟ ให้กราฟจะมีเส้นขีดสองเส้น ขนานกับกราฟ เส้นสองเส้นนี้แหระครับ คือ High และ Low ในช่วงตลาดโตเกียว และแท็บข้างล่างที่เป็นสี คืออินดิเคเตอร์ที่บอกเทรน

การเข้า Buy และ ตั้ง Stop Loss ทำได้ดังนี้ครับ

เข้า Buy ( Long) เมื่อราคาทะลุ High และตั้ง Stop Lossตามภาพโดยเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสภาวะของตลาดครับ

การหาราคาเป้าหมาย
1.ผมจะหาราคาเป้าหมาย(Target) โดยใช้ Fibonacci วัดจาก Low ถึง High ของตลาด แล้ว Set Tp แรกไว้ที่ 161.8% ของราคา Fibonacci แต่ถ้าราคาทะลุและไปต่อ ก็จะตั้ง Trailling Stop ไว้ที่ 20 pips
2. กำหนดตายตัวไปเลย ว่าจะเอากี่จุด แต่ Risk Reward Ratio ควรจะเป็น 1:1 เสีย 50 จุด ก็ต้องได้ 50 จุดเช่นกัน
เลือกเอานะครับ จะตั้งทาเก็ตแบบไหน ดังรูปด้านล่างครับ หาเป้าหมายโดยใช้ Fibonacci


การเข้าออเดอร์ Sell และ ตั้ง Stop Loss ทำได้ดังนี้ ครับ
เราจะ Sell(Short) เมื่อราคาทะลุโลด้านล่าง และตั้งสต๊อบลอสไว้ที่ราคาสูงสุดบวกไปอีกห้าจุดหรือไม่ก็ตรงกลาง ขึ้นอยู่กับสภาวะของตลาด
วิธีการหาเป้าหมายของราคาใช้ไฟโบแนซซี่เหมือนเดิมครับ เป้าหมายแรกที่ 161.8% เป้าหมายที่สอง 261.8% เป้าหมายที่สามที่ 423.6% ตามรูปด้านล่างเลยครับ



หวังว่าระบบนี้คงทำให้ทุกท่านมีกำไรจากตลาดฟอเร็กนะครับ Have a good Trade
ขอขอบคุณ Al Russel LondonForexRush

กฏ 24 ข้อ เพื่อทำกำไรในตลาด

กฏ 24 ข้อ เพื่อทำกำไรในตลาด

นักค้าต้องมีกฏเกณฑ์ในการปฏิบัติที่ แน่นอนและต้องมีวินัยอย่างเคร่งครัด กฏเกณฑ์ที่จะกล่าวต่อไปนี้ ได้รวบรวมจากประสบการณ์ 45 ปี ในตลาดหุ้นของ นายวิลเลี่ยม ดี แก้น ซึ่งเป็นที่เชื่อว่า หากใครสามารถปฏิบัติตามได้ก็จะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น

1. จำนวนเงินลงทุน ต้องพอดีและจงแบ่งเงินลงทุนเป็นสิบส่วน เท่าๆกัน ในการซื้อขายแต่ละครั้ง อย่าลงทุนซื้อหรือขาย เกินหนึ่งในสิบของเงินลงทุน
2. ใช้คำสั่ง STOP ORDER ควรป้องกันการลงทุนโดยการตั้ง STOP ORDER 3-5 ช่วงต่ำกว่าราคาที่ซื้อ หรือ สูงกว่าราคาที่ขาย
3. อย่าซื้อหรือขายเกินตัว เพราะจะเป็นการฝ่าฝืนกฎเกี่ยวกับจำนวนเงินลงทุนในข้อ 1
4. อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน หลังจากที่ท่านมีกำไร 3 ช่วงหรือมากกว่านั้น จงยกระดับ STOP ORDER ให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันมิให้ขาดทุน
5. อย่าเริ่มก่อนแนวโน้ม ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ:ตามแผนภูมิของท่าน
6. เมื่อสงสัย ให้ออกจากตลาดและอย่าเข้าตลาดถ้ายังสงสัย
7. ซื้อขายเฉพาะหุ้นที่มีการซื้อขายมาก อย่ายุ่งกับหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวช้าหรือแน่นิ่ง
8. จงกระจายความเสี่ยง ซื้อขายหุ้นอย่างน้อย 4 ถึง 5 บริษัท ถ้าเป็นไปได้อย่างลงทุนจนหมดตัวในหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
9. จงอย่าใช้ราคาเฉพาะ ทั้งการซื้อและการขาย จงใช้ราคาตลาด
10. อย่าขายหุ้นทิ้งโดยไม่มีเหตุผลที่ดี จงใช้ STOP ORDER เพื่อป้องกันกำไรหดหาย
11. จงสะสมกำไร หลังจากที่ท่านประสบความสำเร็จและมีกำไรติดต่อกันหลายๆ ครั้ง จงสำรองกำไรส่วนนี้ไว้ต่างหากเพื่อใช้ในยามฉุกเฉินหรือตอนที่มีการตื่น ตระหนก
12. อย่าซื้อ เพียงแต่เพื่อจะเอาเงินปันผล
13. อย่าเฉลี่ยการขาดทุน เพราะนี่เป็นความผิดที่เลวร้ายที่สุดที่นักค้าหุ้นไม่ควรทำ
14. อย่าออกจากตลาด เพียงเพราะว่าท่านหมดความอดทนหรือเข้าตลาด เพียงเพราะว่าท่านไม่อยากรอ
15. จงหลีกเลี่ยง การขายเพื่อเอากำไรแต่น้อยและอย่าปล่อยให้ขาดทุนมาก
16. จงอย่ายกเลิกคำสั่ง STOP ORDER ที่ท่านสั่งตอนที่ท่านซื้อขายหุ้นนั้น
17. จงหลีกเลี่ยง การเข้าและออกจากตลาดบ่อยเกินไป
18. จงพร้อมที่จะขาย เช่นเดียวกับซื้อและยึดวัตถุประสงค์ในการทำกำไรให้แน่วแน่
19. จงอย่าซื้อ เพียงเพราะราคาต่ำและอย่าขายเพียงเพราะคิดว่าราคาสูง
20. จงระวังการพีระมิดในจังหวะที่ผิด จงรอจนกระทั่งเริ่มมีการซื้อขายมากและระดับราคาได้วิ่งขึ้นผ่านระดับต้านทาน ก่อนที่จะซื้อเพิ่ม และรอจนกระทั่งราคาได้วิ่งตกต่ำกว่าระดับจำหน่ายจ่ายแจกก่อนที่จะซื้อเพิ่ม ขึ้น
21. เมื่อซื้อ จงสะสมหุ้นในบริษัทที่มีจำนวนทุนจดทะเบียนน้อย และ ถ้ายืมหุ้นคนอื่นมาขาย จงยืมหุ้นในบริษัทที่มีจำนวนหุ้นจดทะเบียนมาก
22. อย่าป้องกันการขาดทุน ในหุ้นที่ซื้อมาโดยการยืมหุ้นจากคนอื่นมาขายไปก่อน จงขายหุ้นที่ซื้อมาไปในราคาตลาดและยอมรับการขาดทุนเพื่อคอยโอกาสครั้งต่อไป
23. อย่าเปลี่ยนสถานภาพการลงทุน (POSITION) ในตลาดโดยไม่มีเหตุผลที่ดี เมื่อท่านตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นแล้ว จงให้โอกาสตัวเองตามเหตุผลที่ดีบางประการหรือตามแผนที่กำหนดไว้ อย่าขายหรือซื้อจนกว่าจะมีสัญญาณบอกว่าแนวโน้มได้เปลี่ยนทิศทาง
24. จงหลีกเลี่ยงการเพิ่มพอร์ท หลังจากที่ประสบความสำเร็จและมีกำไรมาเป็นเวลานาน


เมื่อ ท่านตัดสินใจที่จะซื้อขายหุ้น ท่านต้องแน่ใจว่าท่านไม่ได้ฝ่าฝืนกฏข้อใดข้อหนึ่งข้างต้น ซึ่งเป็นกฏที่จำเป็นต่อความสำเร็จของท่าน หากท่านขายหุ้นไปโดยมีการขาดทุน จงทบทวนกฏข้างต้นใหม่และพิจารณาดูว่าท่านได้ทำผิดกฏข้อใด แล้วอย่าทำผิดเป็นครั้งที่ 2 ประสบการณ์และการพิจารณาอย่างรอบคอบจะทำให้ท่านเชื่อคุณค่าของกฏเหล่านี้ การสังเกตและการศึกษาจะนำท่านสู่วิธีการที่ถูกต้องเพื่อ ความสำเร็จและกำไรในตลาดหุ้น
ขอขอบคุณที่มา : http://www.kenstock.net

E-Book แนะนำให้อ่าน

E-Book แนะนำสำหรับเทรดเดอร์ทุกคนครับ
ภาษาไทย

1. คู่มือการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดย คุณสุรชัย ไชยรังสินันท์ ท่านได้รวบรวมความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบของกราฟ(Chart Pattern) รูปแบบของแท่งเทียน(Candlestick Pattern) อินดิเคเตอร์ต่างๆ(Indicators) ไฟโบแนซซี่(Fibonacci) รวมขั้นความรู้ขั้นสูงอย่าง อิเลียตเวฟ(Elliot Wave) อีกด้วย ดาวโหลดที่นี่
---------------------------------------------------------------------------------------

2. คู่มือ Technical Analysis โดย Taladhoon.com รวบรวมเทคนิคไว้มากมายอาทิเช่น รูปแบบการกลับตัว รูปแบบต่อเนื่อง รูปแบบแท่งเทียน อินดิเคเตอร์ ดาวโหลดที่นี่
---------------------------------------------------------------------------------------

ภาษาอังกฤษ

3. Practical Fibonacci Method For Forex Trading วิธีการใช้ ไฟโบแนซซี่ในการเทรดฟอเร็ก หนังสือเล่มนี้ อธิบายว่า ไฟโบแนซซี่คืออะไร สอนวิธีใช้ไฟโบแนซซี่เพื่อหาแนวรับแนวต้านที่ระดับต่างๆ และหาจุดออกจุดเข้าโดยใช้ไฟโบแนซซี่ ดาวโหลดที่นี่
---------------------------------------------------------------------------------------

4. Reading Price Charts Bar By Bar การอ่่านกราฟจากแท่งเทียน หนังสือเล่มนี้อธิบายได้ละเอียดมากๆ วิธีการดูแท่งเทียน การเข้า ออก และกลยุทธิ์การทำกำไรในรูปแบบต่างๆ ดาวโหลดที่นี่
----------------------------------------------------------------------------------------

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Forex Brokers Review

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Break Out System

ระบบเทรดนี้ ผมจะใช้เมื่อราคาเกิดการพักตัว จะใช้ได้ดีในการพักตัวของขาลง (Bearish)

Black King Indicators


ระบบนี้ใช้ได้กับทุกค่าเงิน(all Currency) และทุกเวลา (All Time Frame) แต่เจ้าของระบบแนะนำให้ใช้กับ GBP/USD . EUR/USD , GBP/JPY และ GBP/CHF ใช้กับ time frame 30 นาที และ 1 ชั่วโมง
-เครื่องมือและอินดิเคเตอร์ที่ใช้ในระบบนี้
1.Heiken Ashi Bar ( Price Average Bar) ใช้เพื่อบอกสัญญาณออกให้กับเรา เพื่อป้องกันการหลอกจาก อินดิเคเตอร์
2.SMA 5 ใช้สองเส้น โดยที่ Apply high , และ Apply low ใช้เพื่อดูรูปแบบ Flat (ลักษณะของกราฟที่ขนานราบไปกับพื้น ) ซึ่งเป็นสัญญาณที่อันตรายมาก อาจจะไปทางใดทางหนึ่ง
3.Trader Dynamic Index ทั้งหมดที่อยู่ในอินดิเคเตอร์ตัวนี้ จะบอกถึงแนวโน้ม การแกว่ง ความผันผวน ของตลาด นอกจากนี้ยังใช้ดูเวลาในการเข้าเทรดและออกจากออเดอร์
4.QQE เป็นอินดิเคเตอร์รอง ที่ใช้ในการดูสัญญาณเข้า-ออก อีกที

Trader Dynamic Index ประกอบด้วย
1. Relative Strength Index ( RSI Price Line ) เส้นสีเขียว
2.Trade Signal Line เส้นสีแดง
3.Market Base Line เส้นสีเหลือง
4.Volatility Band เส้นสีน้ำเงิน ใช้บอกช่วง(range)การขึ้นลงของตลาด

การเข้าซื้อ (Buy entry)
1.เส้นราคา RSI ตัด และยืนอยู่เหนือ เส้น Market Base Line และ เส้น Trade Signal Line จากข้างล่างขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 50-68 และเป็นกำลังจะเปลี่ยนเป็นเทรนขึ้น
2. Heiken Ashi ต้องเป็นสีเขียวและต้องปิดบนช่อง SMA 5
3. SMA 5 ต้องมีแนวโน้มขึ้น มีความชันเป็นบวก
4. QQE Alert value 1 ตัด QQE Alert value 3 จากด้านล่าง
อาจจะพิจาณาที่จะทำการเข้า ถ้า RSI ตัด Volatility Band ขึ้นไปข้างบน แต่ก็ต้องเตรียมตัวออก เมื่อราคาวิ่งลง

การขาย ( Sell entry)
1. เมื่อ RSI ตัดกับเส้นและอยู่ด้านล่างเส้น Market Base line และ Trader Signal Line อยู่ระหว่าง 32-50 และกำลังเป็นเทรนลง
2.Heiken Ashi เป็นสีแดงและปิดต่ำกว่าช่อง Sma 5
3. ช่อง SMA 5 กำลังจะเป็นเทรนลง
4.QQE Alert value 1 ตัดกับ QQE Alert value 2 จากด้านบน
อาจจะพิจารณาที่ทำการเข้า ถ้าRSI ตัด Volatility Band ลงมา แต่ก็ต้องเตรียมปิด เมื่อราคาขึ้น

การปิดออเดอร์ Buy
เลือกเอาข้อใดข้อหนึ่ง
1.แท่ง Heiken Ashi Bar สั้นกว่าแท่งก่อนหน้านั้นมากๆ หรือไม่ก็เปลี่ยนเป็นสีแดง
2. แท่ง Heiken Ashi ปิดอยู่ในช่องของ SMA 5
3.เส้น RSI กำลังจะตัดกับเส้น Trade Signal Line จากด้านบน หรือไม่ก็ มันจะอยู่เหนือระดับ 68
4.QQE Alert value 1 กำลังจะตัด QQE alert value 3
5. ออเดอร์ บวกมากกว่า 50-100 ก็ปิดได้เลย

การออกจากการ Sell
เลือกเอาข้อใดข้อหนึ่ง
1. แท่งHeiken Ashi Bar สั้นกว่าแท่งก่อนหน้านี้ มากๆ หรือไม่ก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวไปเลย
2. แท่ง Heiken Ashi กำลังจะปิดอยู่ใน ช่อง SMA 5
3. เส้น RSI กำลังตัดเส้น Trade Signal ด้านล่าง หรือไม่ก็ มาอยู่ที่ระดับ 32
4. QQE alert value 1 กำลังจะตัด QQE alert value 3
5. ออเดอร์ บวกมากกว่า 50-100 ก็ทำการปิดเอากำไรได้เลย

ขอขอบคุณ Black King ที่พัฒนาระบบเทรดนี้ขึ้นมาให้กับพวกเราชาวเทรดเดอร์

Money management สิ่งสำคัญเพื่อการบริหารพอร์ท Forex ให้ได้กำไร

ทำไม Money management ถึงสำคัญ เพราะเราต้องการที่จะทำกำไร เราต้องเรียนรู้การบริหารจัดการเงิน แต่คนส่วนมากได้มองข้ามมันไป

Trader หลายคน เทรดโดยที่ไม่มีหลักการ และดูแค่ว่าสามารถเสียได้เท่าไรในการเทรด 1 ครั้ง แล้วก็เทรดเลย อย่างนี้ค้าเรียกว่าการพนันไม่ใช่ การลงทุน

ถ้า คุณเทรดโดย ไม่ใช้ Money management นั้น มันก็เหมือนกับว่าคุณกำลังเล่นพนันอยู่ คุณไม่ได้มองการลงทุนระยะยาว คุณกำลัง รอ jackpot การบริหารเงินไม่เพียงช่วยเราป้องกันเงินทุน ยังสามารถทำมีกำไรในระยะยาวอีก แต่ถ้าคุณยังคิดว่าการเล่นแบบรอ jackpot เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เรามาดูตัวอย่างกัน

Casino หรือ เจ้ามือ คนเหล่านี้ เก่งเรื่อง สถิติ เค้ารู้ว่าระยะยาวแล้ว เจ้ามือจะเป็นคนได้เงิน ไม่ใช่นักพนัน ถึงจะมีคนถูกรางวัล Jackpot เป็นเงินก้อนโต แต่ก็จะมีนักพนันอีกมากกว่าร้อยที่ไม่ถูก Jackpot แล้วเงินเหล่านี้ ก็จะเป็นของเจ้ามือ

อันนี้เป้นตัวอย่างที่ทำให้เห็นวา สถิติ สามารถ สร้างกำไรได้เหนือกว่า การพนัน
ในทางสถิติ หรือ เจ้ามือ ในกรณีนี้รู้ว่าจะควบคุมความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น ได้อย่างไร ถ้าทำได้ คุณก็จะมีกำไร

ทีนี้คุณจะทำยังไงถึงจะเป็น นักสถิติที่ดีได้ ไม่ล้มเหลว

Money management นั้นสามารถทำกำไร ได้ในระยะยาว
ถ้า ไม่ใช้กฎของ Money management จะเกิดอะไรขึ้นเรามาดูตัวอย่าง

สม มุตรว่าคุณ มีเงินอยู่ $10000 และคุณเสียไป $5000 คุณเสียไปทั้งหมดกี่เปอร์เซนต์ คำตอบคือ 50 เปอร์เซนต์ แล้วคุณต้องทำกี่เปอร์เซนต์
เงิน $5000 ของคุณ ถึงจะกลับไปเท่าเดิมคือ $10000 คุณต้องทำถึง 100 เปอร์เซนต์ ไม่ใช่ 50 เปอร์เซนต์ เค้าเรียกว่า Drawdown จะเห็นว่ามันน่าหงุดหงิดมาก เพราะมันง่ายมากในการเสียไป แต่ได้กลับคืนมาเท่าเดิมนั้น ยากกว่า ซึ่งผู้อ่านคงไม่คิดที่จะเสีย เทรดเดียว 50 เปอร์เซนต์ ผมหวังว่าเป็นเช่นนั้น

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเทรดเสีย 3, 4 หรือ 10 เทรดติดกันล่ะ มันดูเหมือนจะเกิดได้ยากถ้าคุณคิดว่าคุณมี trade system ที่มีเปอร์เซนต์ชนะ 70 เปอร์เซนต์ ดังนั้นคุณไม่มีทางเสีย ติดต่อกันได้ถึง 10 ครั้ง ถ้าคุณคิดว่าคุณมี Trade system ที่ดี ในการเทรด Trade system ที่ทำ profitable ได้ 70 เปอร์เซนต์ ดูเหมือนเป็น system ที่ดีมาก แต่มันไม่ได้หมายความว่า ใน100 เทรดคุณจะชนะ 70เทรด
คุณจะรู้ได้อย่างไร ว่า 70 ใน 100 เทรดจะชนะ คุณไม่มีทางรู้ได้ คุณ อาจจะเสีย 30 เทรดแรก แล้วไปชนะ 70 เทรดที่เหลือ ซึงยังให้ผลที่ 70 เปอร์เซนต์ แต่คุณก็คงเสียหายหนัก

จากตัวอย่างจะทำให้รู้ว่า Money management นั้นสำคัญ ไม่ว่าคุณจะมี Trading System ดีสักเท่าไร แต่ก็ต้องมีที่คุณเสีย เหมือนผู้เล่น Poker มืออาชีพ ถึงเค้าจะเล่นเสียครั้งใหญ่ แต่สุดท้ายเค้าก็จะจบด้วยกำไร

ผู้เล่น Poker เก่งๆจะฝึกฝน Money management เพราะเค้ารุ้ว่าไม่สามารถชนะได้ทุกเกมส์ เค้าจะเล่นด้วยจำนวนเงินที่น้อย จากเงินทั้งหมดที่เค้ามี มันสามารถทำให้เค้ารอดพ้นจากการเสียครั้งใหญ่ได้ นี่คือสิ่งที่คุณต้องทำในฐานะ trader เทรดใน เปอร์เซนต์ที่น้อยจากจำนวนเงินที่มีทั้งหมด เพื่อลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น
เมื่อคุณฝึกฝน และ เคร่งครัดกับ Money management คุณ จะเปลี่ยนจากนักพนัน กลายเป็นเจ้ามือ ที่จะทำกำไรได้ระยะยาว

รูปตัวอย่าง ความแตกต่างระหว่างคนที่เล่นเปอร์เซนต์น้อย และคนที่เล่นโดยใช้เปอร์เซนต์สูง

คุณจะเห็นว่ามีความแตกต่างกันมากระหว่าง การเล่น 2 เปอร์เซนต์เมื่อ เทียบกับ 10 เปอร์เซนต์ ของเงินทั้งหมดในการเทรดแต่ละครั้ง ถ้าคุณเสียติดต่อกัน 19 ครั้ง
การลงด้วยเงิน 10 เปอร์เซนต์ จะทำให้คุณเสีย 85 เปอร์เซนต์จากเงินทั้งหมด !!!!
แต่การลงด้วยเงิน 2 เปอร์เซนต์ จะทำให้คุณเสียแค่ 30 เปอร์เซนต์ของมาจิ้นเท่านั้น
แต่ มันคงเกิดขึ้นได้ยาก งั้นมาดูแค่การเสีย 5 ครั้งติดต่อกัน ถ้าคุณลง 2 เปอร์เซนต์คุณจะมีเงินเหลือ 18447 แต่ถ้าคุณลง 10 เปอร์เซนต์ จะเหลือเงินแค่ 13122 ซึ่งจะมากกว่าการเสีย ติดต่อกัน19 ครั้งของ การลง 2 เปอร์เซนต์ซะอีก!!!

จุดประสงค์ที่ยกขึ้นมานี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า การใช้ Money management เมื่อตอน drawdown คุณยังมีเงินทุนเหลือพอที่จะเล่นต่อไป คุณลองคิดว่าถ้าคุณเสีย 85 เปอร์เซนต์ของเงินทั้งหมด คุณต้องทำให้ได้ 566 เปอร์เซนต์ของเงินที่เหลือ เพื่อให้เท่าทุน คุณคงไม่อยากอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น

อันนี้คือตาราง ที่ จะทำให้คุณรู้ว่าจากการ ขาดทุน คุณต้องทำเท่าไรถึงจะเท่าทุน

คุณจะเห็นว่า ยิ่งเสียมากมันก็ยากที่จะ ทำให้มันกลับมาเท่าทุน นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องใช้ Money management

Risk to reward
เป็น การเทรดที่ อัตราส่วนอยู่ที่ 3 ต่อ 1 คือ Winner trade ต้องมากกว่า 3 เท่าจาก looser trade ถ้าเทรด แพ้ และ ชนะ สลับกัน
Profitable trade จะอยู่แค่ 50 เปอร์เซนต์ แต่เรามีกำไร นะครับ


ขอขอบคุณที่มา http://www.thaiforextrading.blogspot.com
Credit : http://www.babypips.com/school/money_management.html
แปลโดย Golink

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การติดตั้ง Indicators ลงบนโปรแกรมเทรด MT4

หลายๆคนคงได้รับไฟล์ .ex4 , .mq4 แต่ไม่รู้ว่าไฟล์นี้ใช้กับโปรแกรมอะไร ไฟล์สกุลเหล่านี้ ใช้กับโปรแกรมเทรด Mt4 ซึ่้ง Indicators ที่เราเพิ่มเข้าไปจะอยู่ในส่วนของ Custom Indicators
มีขั้นตอนดังนี้
1. เข้าไปดาวโหลด Indicators , Scripts , Expert Advisors ได้ที่เว็บเหล่านี้ www.forex-tsd.com , www.forexfactory.com ,www.forexmt4.com
2. ยกตัวอย่าง ผมจะโหลด Indicator ที่ชื่อ cci_cross_new.mq4 ในเว็บ forexmt4 จากนั้นทำการดาวโหลดมาเก็บไว้ที่ Disk ของเรา


3.จากนั้นให้ไป Copy file ที่ได้ Download ไว้ มาไว้ที่
My Computer >>> Disk C >>>Program file >>Insta trader(ขึ้นอยู่กับว่า เลือกใช้โบรกเกอร์ไหน ) >>> Experts>>>> Indicators จากนั้นก็ทำการ วาง (paste) File ไว้ที่ Indicators








Note : การโหลดไฟล์ Template (.tpl) ก็เอาไปใส่ไว้ที่ Templates ไฟล์ Scripts ก็เอาไปใส่ไว้ใน Scripts เช่นเดียวกัน
3. เมื่อทำการติดตั้ง Indicators เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ปิด โปรแกรมเทรด Mt4 ไปก่อน แล้วเปิดใหม่อีกครั้ง
4.จากนั้นไปที่ Custom Indicators หรือไปที่ Insert >>> Indicators >>> Custom Indicator >> แล้วเลือก Indicator ที่เราได้ทำการติดตั้งไว้ (ในที่นี้ผมติดตั้ง Indicators ที่ชื่อว่า cci_cross_new )



เสร็จสมบูรณ์สำหรับการติดตั้ง Indicators ลงบนโปรแกรมเทรด MT4
หวังว่าบทความนี้คงจะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน
ขอบคุณครับ

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การลง Indicators

หลายๆคน คงได้รับไฟล์สกุล .EX4 , .MQ4 ไฟล์นานสกุลเหล่านี้เป็นไฟล์ที่ใช้กับโปรแกรม MT4 ทั้งสิ้น ซึ่งจะอยู่ในส่วนของ Cusstum

วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หลักการเบื้องต้นในการวิเคราะห์กราฟ

หลักการเบื้องต้นในการวิเคราะห์กราฟ


การวิเคราะห์กราฟนั้น สิ่งแรกที่เราควรเรียนรู้คือ แนวโน้มของราคา แนวโน้มหรือเทรน (Trend) จะสามารถบ่งบอกเราได้ว่า ราคากำลังจะไปทางไหน ราคาจะขึ้นหรือลง ซึ่งการวิเคราะห์แนวโน้มนั้นแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ 1. แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) 2. แนวโน้มขาลง (Down Trend) 3. ไม่มีทิศทางที่แน่นอน (Sideway)

1. แนวโน้มขาขึ้น (Up Trend)

แนวโน้มขาขึ้น Up Trend คือ จุดสูงสุดของราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ และจุดต่ำสุดใหม่ของราคาก็สูงกว่าจุดต่ำสุดเก่า
ผมแทน จุดสูงสุด (High=H) และจุดต่ำสุด (Low=L)
นิยามของ Up Trend คือ Hn > ... H3>H2>H1 เมื่อ n คือ จำนวนใดๆ ความหมายคือ H3 ต้องสูงกว่า H2 และ H2 ต้องสูงกว่า H1
และ Ln>.. L3>L2>L1 เมื่อ n คือจำนวนใดๆ ความหมายคือ L3 ต้องสูงกว่า L2 และ L2 ต้องสูงกว่า L1
ดังรูปด้านล่างครับ เป็นตัวอย่าง UpTrend

จุดสูงสุดใหม่ต้องสูงกว่าจุดสูงสุดเก่า และจุดต่ำสุดใหม่ต้องสูงกว่าจุดต่ำสุดเก่า นี่คือ คำนิยามของแนวโน้มขาขึ้น(Uptrend) จำแค่นี้ก็พอครับ 

 


2.แนวโน้มขาลง (Down Trend)

แนวโน้มขาลง (DownTrend)คือ จุดต่ำสุดของราคาจะต่ำลงเรื่อยๆ และ จุดสูงสุดของราคาก็ลดต่ำลงเช่นกัน
นิยามของแนวโน้มขาลงคือ Ln<... L3
และ Hn <... H3

ดังรูปตัวอย่าง Down Trend ด้านล่างครับ



จุดต่ำสุดใหม่ต้องต่ำกว่าจุดต่ำสุดเก่า และจุดสูงสุดใหม่ต้องอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเก่า นี่คือนิยามของคำว่า แนวโน้มขาลง (DownTrend)


3. ไม่มีทิศทางที่แน่นอน (SideWay)

SideWay คือ ราคาเคลื่อนที่ขึ้นลงในกรอบแคบๆ เคลื่อนตัวไปด้านข้างและมีทิศทางที่ไม่แน่นอน แนวโน้มจะเป็นลักษณะแบนราบ (Flat)
ดูรูปประกอบเลยครับ  SideWay
Side  Way เป็นแนวโน้มที่เล่นยากที่สุด เพราะเราไม่สามารถรู้ทิศทางที่แน่นอนได้ ถ้าหลักเลี่ยงได้ ก็ไม่ควรเล่นช่วงนี้ วิธีการสังเกตการเคลื่อนตัวแบบ Sideway คือ เมื่อกราฟได้เคลื่อนตัวโดยมีแนวโน้มที่ชัดเจนมาช่วงหนึ่งแล้ว กราฟจะเกิดการพักตัวช่วงหนึ่ง การพักตัวของกราฟ อาจจะหมายความว่า มันกำลังเตรียมตัวไปต่อในทิศทางเดิม หรือกำลังจะกลับตัวนั่้นเอง


การดูแนวโน้มเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน เพราะสิ่งนี้เป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์ชั้นสูง เช่น การนับคลื่น Elliott wave , ทฤษฎีดาว เป็นต้น ถ้าเรามีพื้นฐานเหล่านี้ การศึกษาในขั้นสูงก็เป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับเรา
ฝากถึงทุกคนนะครับ Basic is Best

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เรียนรู้ สิ่งที่ดีที่สุด เพื่อจะเป็นคนที่เก่งที่สุด

วอเร็น บัฟเฟตต์
หากคุณนำเงิน 10,000 เหรียญไปลงทุนกับ วอเร็น บัฟเฟตต์ เมื่อตอนที่เขาเริ่มลงทุนกับหุ้นในปี 1956 เงินทุนของคุณจะมีมูลค่าสุทธิหลังจากหักค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่าย และภาษีแล้วในวันสูงถึง 300 ล้านเหรียญ ความสำเร็จอันน่าทึ่งของบัฟเฟตต์ ยิ่งน่าสนใจเป็นพิเศษเพราะเขาไม่ได้ถือครองสิทธิบัตรใดๆ ไม่ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่หรือการค้าปลีกแนวใหม่หรือแม้แต่เริ่มทำธุรกิจของ ตนเองเลย เครื่องมือที่เขาใช้ซึ่งทุกคนในโลกทุนนิยมก็สามารถนำไปใช้ได้ก็คือ การมีวินัยที่เคร่งครัดและยึดมั่นในการลงทุนแบบเน้นคุณค่าอย่างเหนียวแน่น ข่าวดีจากชายที่เคยสร้างมูลค่าเงินลงทุนกว่า 100 พันล้านเหรียญ (และยังคงสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นอีก) ก็คือ ไม่มีความลับหรือเคล็ดลับในการสร้างความมั่งคั่งในการลงทุนในธุระกิจของคน อื่น ซึ่งรับประกันได้ว่า คุณกสามารถสร้างความมั่งคั่งได้และสามารถส่งต่อความมั่งคั่งไปยังรุ่นต่อไป ได้โดยใช้วิธีและหลักการเดียวกัน
เรียนรู้สิ่งทีดีที่สุดเพื่อจะเป็นคนเก่งที่สุด
วอเร็นบัฟเฟตต์ศึกษาศาสตร์ทุกแขนงที่ดีที่สุดจากทุกประเทศ เขาเล่นกอล์ฟกับ ไทเกอร์ วู้ดส์ เล่นเทนนิสกับมาร์ตินา นาฟาร์ติโลวา และเล่นบริดจ์กับ ชารอน ออสเบิร์ก แชมป์โลกสองสมัย เขาจะพูดคุยเรื่องการเพาะกายและการเมืองกับ อาร์โนล ชวาซาเนเกอร์ เรื่องดนตรีกับ จิมมี่ บัฟเฟตต์ เรื่องการผลิตภาพยนต์กับเดบบี้ เรย์โนล และเรื่องการรเต้นรำกับไมเคิล ฟลาเลย์ ส่วนบิลล์ เกตส์ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเขาก็คงถกเถียงเรื่องความก้าวหน้าและอนาคตของ เทคโนโลยี ซีอีโอที่เก่งที่สุดในโลกมารวมตัวกันเพื่อต้องการฟังคำแนะนำจากวอเร็น บัฟเฟตต์ทุกครั้งที่มีโอกาส นักการเมืองจะแวะเมืองโอมาฮาเพื่อขอเสียงสนับสนุนจากเขา ประธานาธิปดี สมาชิกสภานิติบัญญัติสมาชิกตุลาการ แม้แต่ประธานกรรมการธนาคารกลาง ต่างยินดีที่จะได้พบเขาในงานเลี้ยงอาหารค่ำซึ่งจัดเป็นประจำทุกปีในเดือน มกราคมที่อัลฟาคลับใน วอชิงตันดีซี และกิจการที่ถูกซื้อโดยบริษัทของวอเร็นจะถือว่าการถูกซื้อนั้นเป็นเกียรติ
อันที่จริงวอเร็นเพียงแต่จะศึกษาสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น ปัจจุบันเขาได้สร้างบริษัทในเครือขึ้นเพื่อให้เขาได้สิ่งที่ดีที่สุดในโลก ไม่ว่าจากวงการบันเทิง กีฬา ความสำเร็จในการทำธุรกิจ ความมั่งคั่ง ความสามารถ และผู้บริหารกิจการ บริษัทเน็ตเจ็ทส์ของบัฟเฟตต์ให้บริการเครื่องบินเช่าแก่ผู้ที่มีฐานะ มากกว่า 5000 คน และที่ดีที่สุดคือการให้บริการมากกว่า 240000 เที่ยวบินต่อปีในกว่า 140 ประเทศ ซึ่งเน็ตเจทส์กล่าวว่าใครก็ตามที่มีฐานะหรือมีสินทรัพย์สุทธิ 20 ล้านเหรียญหรือมากกว่า ไม่สามารถจะมีวิถีชีวิต ความมั่นคง ความปลอดภัย และความสะดวกสบายในการซื้อสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของเครื่องบินเจทส์ของเขา หนึ่งลำ ซึ่งเปรียบเทียบได้เท่ากับการมี Air Force One (ซึ่งเป็นเครื่องบินประจำตำแหน่งของประธานาธิปดีของสหรัฐอเมริกา) โดยไม่ต้องลงชิงตำแหน่งประธานาธิปดี
พิธีกรรายการทอล์คโชว์ทางวิทยุ ดอนไอมูส และรายการทีวีภาคดึก เดวิค เลทเทอร์แมน มักจะคุยโม้เกี่ยวกับเครื่องบินเน็ตเจ็ทส์ของพวกเขา ซึ่งไม่เพียงแต่นักกีฬา นักแสดงและนักดนตรีเท่านั้น แม้แต่ผู้นำทางศาสนาและที่ปรึกษาของประธานาธิปปดีสหรัฐอเมริกาต่างก็ประทับ ใจในบริการที่ยอดเยี่ยมของพวกเรา แม้แต่ GE กิจการที่ใหญ่ทีสุดในโลกก็ซื้อสิทธิ์ในเน็ตเจทส์หลายสิทธิ์เพิ่มเติมจาก เครื่องบินของตนเองที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีเครื่องบินในเวลาทีต้องการเพื่อไปร่วมประชุมให้ทัน เวลาด้วยต้นทุนการใช้งานที่แท้จริง แต่ไม่ใช่การเป็นเจ้าของประเภทซื้อสิทธิ์แล้วได้กรรมสิทธิ์ในเครื่องบินนั้น
สุดยอดนักลงทุน พิสูจน์ว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ ศึกษาเรียนจากคนที่เก่งที่สุด
วอเร็นศึกษาสิ่งที่ดีที่สุดในด้านกรลงทุนเช่นเดียวกัน (เหมือนที่คุณกำลังทำ ด้วยการศึกษาจากวอเร็น บัฟเฟตต์) เขาสังเกต เรียนรู้ บรรยายและเขียนบทความเกี่ยวกับนักลงทุนที่เก่งที่สุดที่ยึดหลักการลงทุนแบบ เน้นคุณค่า ในฐานนะที่เป็นศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ วอเร็นเรียนรู้จากการวิเคราะห์หลักทรัพย์กับศาสตราจารย์ เบน เกรแฮม และเดวิด ดอดด์ ในปี 1984 ซึ่งเป็นงานฉลองครบรอบ 15 ปีของหนังสือ Security Analysis ฉบับสุดท้ายที่เขียนโดยเบนเกรแฮมและดอดด์ วอเร็น บัฟเฟตต์ได้กล่าวสุนทรพจน์ภายใต้หัวข้อ “The Superinvestors Of Graham And Doddsville” นักลงทุนระดับสุดยอดแห่งหมู่บ้านแกรแฮมและดอดด์วิลล์
วอเร็นกล่าวว่า สุดยอดนักลงทุน (คนกลุ่มเล็กๆที่สามารถทำกำไรได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดติดต่อกันเป็นเวลา หลายปี) ที่อ่าน เข้าใจ และปฏิบัติตามหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่าซึ่งกล่าวไว้ในหนังสือ Security Analysis ล้วนแล้วแต่มาจากสังคมปัญญาชนเกรแฮมและดอดด์วิลล์
เขามักจะเชื่อและพิสูจน์มันด้วยสุนทรพจน์เสมอว่า ผู้ที่ปฏิบัติตามหรือเป็นคนในชุมชนเกรแฮมและดอดด์วิลล์ จะประสบความสำเร็จและประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ด้วยผลตอบแทนที่โดดเด่นด้วยการลงทุนในหุ้นที่แตกต่างกัน บัฟเฟตต์ยืนยันว่าโดยเฉลี่ยแล้วนักลงทุนรายย่อยสามารถจัดพอร์ตโฟลิโอได้ดี กว่าตลาดโดยรวมตราบใดที่พวกเขาปฏิบัติตามหลักการของเกรแฮมและดอดด์ หรือลงทุนแบบเน้นคุณค่า นักลงทุนสามารถทำได้โดยการนำหลักการและวิธีการเดียวกันกับววอเร็นบัฟเฟตต์ ใช้ ไปปรับใช้โดยไม่ต้องลงทุนให้หุ้นเดียวกัน
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ซึ่งบัฟเฟตต์ไช้อธิบายการลงทุนทุกประเภทาศาสตร์และศิลป์ที่จะซื้อสินทรัพย์ มูลค่า 1 เหรียญ ในราคา 50 เซนต์ วอเร็นไม่เพียงแต่กำหนดลักษณะและการตั้งชื่อเมืองสุดยอดเกรแฮมและดอดด์วิล เขายังเป็นประชาชนคนแรกและเป็นผู้นำ(นายกเทศมนตรี) โดยชอบธรรมของชุมชนอีกด้วย และปัจจุบันมี ลูชิมป์สันเป็นรองนายกเทศมนตรี
ดังนั้นหากวอเร็น บัฟเฟตต์ศึกษาสิ่งที่ดีที่สุดในทุกๆด้าน ไม่เพียงแต่การบริหารการลงทุน ก็ดูเหมือนจะมีเหตุผลเช่นกันหากคุณต้องการจะเป็นนักลงทุนที่เก่งกว่านักลง ทุนทั่วไป คุณก็ควรจะศึกษาเรื่องราวของวอเร็น บัฟเฟตต์ และเรียนรู้จากคนที่เก่งที่สุด
สร้างความมั่งคั่งมูลค่าสูงกว่า 100 พันล้านเหรียญ
เพื่อที่จะเข้าใจวิธีประสบความสำเร็จสูงสุดในการสร้างความมั่งคั่งของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ลองพิจารณาจากเรื่องนี้ หากนำเงินที่ได้ 1 ล้าน เหรียญไปลงทุนทุกๆปี โดยได้รับผลตอบแทนปีละ 10 % เป็นเวลา 48 ปีครึ่ง จำนวนเงินนี้จะเท่ากับ 1 พันล้านเหรียญซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับ มาตรฐานของคนทั่วไป แต่วอเร็น บัฟเฟตต์ ทำเช่นนี้ให้กับผู้ถือหุ้นถึง 66 เท่า และ 36 เท่าสำหรับตัวของเขาเอง หรือมากกว่า 100 เท่าตลอดช่วงเวลา 50 ปีในอาชีพการลงทุนของเขาและยังดำเนินต่อไป ชาลี มันเจอร์ หุ้นส่วนของเขากล่าวว่า “อายุยิ่งมากขึ้น วอเร็นก็ยิ่งทำได้ดีขึ้น”
บัฟเฟตต์ปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นของเขาเหมือนเป็นหุ้นส่วน ความมั่งคั่งของบัฟเฟตต์สร้างขึ้นหรือเกิดขึ้นจากผู้ถือหุ้น แต่ไม่ใช่จากต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายของพวกเขา บัฟเฟตต์สร้างความมั่งคั่งให้หุ้นส่วนเช่นเดียวกับที่เขาสร้างความมั่งคั่ง ให้กับตัวเอง ให้กับครอบครัวของเขา และที่สุดก็สร้างประโยชน์ให้แก่โลก เพราะวันหนึ่งในอนาคตความมั่งคั่งของเขาจะกลายเป็นเงินทุนให้แก่มูลนิธิที่ ใหญ่ที่สุดในโลก ในปี 1962 เมื่อ บัฟเฟตต์มีทรัพย์สินมูลค่า 1.5 ล้านเหรียญ หุ้นส่วนของเขามีทรัพย์สินถึงมูลค่า 8.5 ล้านเหรียญ และเมื่อรวมความมั่งคั่งของบัฟเฟตต์และผ้ถือหุ้นแล้วสูงถึง 10 ล้านเหรียญ ในปี 1971 เมื่อเขาอายุ 41 ปีบัฟเฟตต์มีสินทรัพย์มูลค่า 33.6 ล้านเหรียญ และผู้ถือหุ้นมีสินทรัพย์มูลค่า 36.4 ล้านเหรียญ รวมแล้วปท่ากับ 70 ล้านเหรียญ 1982 ทรัพย์สินของบัฟเฟตต์มีมูลค่าประมาณ 372 ล้านเหรียญ และของหุ้นส่วนรวมกันประมาณ 403 ล้านเหรียญรวมทั้งสิ้นแล้วประมาณ 775 ล้านเหรียญ บัฟเฟตต์ได้รับตำแหน่งอภิมหาเศรษฐีในปี 1989 ด้วยทรัพย์สินมูลค่า 3.4 พันล้านเหรียญ และผู้ถือหุ้นอีก 3.7 พันล้านเหรียญ ความมั่งคั่งโดยรวมประมาณ 7.1 พันล้านเหรียญ
ในปี 1998 บัฟเฟตต์กลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและมหาเศรษฐีอันดับสองของโลกด้วย มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 33.6 พันล้านเหรียญ และทรัพย์สินหุ้นส่วนอีก 71.4 พันล้านเหรียญ รวมสินทรัพย์ก้อนโตทั้งหมดสูงถึง 105 พันล้านเหรียญ ซึ่งยังไม่เคยมีใครมีความมั่งคั่งสูงถึงระดับนี้โดยไม่มีการขายหุ้นบริษัท ของตนเองหรือออกสิทธิ์ในการซื้อหุ้นแก้ผู้บริหาร หรือเพิ่มเงินลงทุนหรือกว้านซื้อกระบวนการผลิตใหม่ๆหรือสิทธิบัตรหรือไม่เคย เริ่มต้นหรือเป็นเจ้าของธุรกิจของตนเอง
ความมั่งคั่งอาจเกิดได้ 4 วิธี คือการได้รับมรดก การแต่งงาน การถูกลอตเตอรี่ หรือโดยการทำธุกิจของตัวเอง อย่างไรก็ตามการได้มาซึ่งความมั่งคั่งทั้งหมดนี้จะดำรงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อจะ ต้องเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้ตลอดไปและใช้กว่าน้อยกว่ารายได้ที่สามารถหามา ได้ ความมั่งคั่งของบัฟเฟตต์ไม่ได้มาจากกองมรดก หรือการแต่งงาน หรือการถูกล็อตเตอรี่ หรือการเป็นเจ้าของธุรกิจใดๆ แต่เกิดจากการเป้นเจ้าของหลายๆธุรกิจโดยเริ่มลงทุนผ่านตลาดหุ้นจากนั้นก็ วื้อธุรกิจโดยตรงทั้งงธุรกิจ ดังที่คุณได้เรียนรู้ว่า วอเร็น บัฟเฟตต์มักจะใช้จ่ายน้อยกว่าระดับรายได้ของเขาเสมอ และไม่เคยหยุดที่จะทำให้ความมั่งคั่งของหุ้นส่วนและขอตนเองเพิ่มขึ้น เขายังสะสมความมั่งคั่งส่วนตัวมากกว่า 100 พันล้านเหรียญ และหลังจากที่เขาและภรรยาเสียชีวิต มูลนิธิของเขาจะได้รับเงินบริจาคปีละกว่า 5 พันล้านเหรียญตลอดไป
เบร์กไซร์ฮาธาเวย์ บริษัทแม่หรือบริษัทโฮลดิ้งของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ลงทุนในธุรกิจมากมายและกระจายไปในอุสาหกรรมต่างๆมากกว่ากิจการขนาดใหญ่อื่นๆ ทั้งที่บริษัทเอกชน แต่จะไม่มีประธานหรือรองประธานกรรมการที่รับผิดชอบธุรกิจนั้นๆโดยตรงกิจการ ขนาดใหญ่ของบัฟเฟตต์มีลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร
วอเร็นแตกต่างจากบุคลลที่ร่ำรวยอื่นๆใน 400 ลำดับมหาเศรษฐีที่จัดในนิตยสาร ฟอร์บ เขาเป็นมหาเศาษฐีที่ไม่ได้เกิดจากกองมรดก หรือจากการแต่งงาน หรือถูกลอตเตอรี่ หรือสร้างความมั่งคั่งจากธุรกิจของตัวเอง วอเร็นไม่เคยแม้แต่จะคิดค้นวิธีการหรือหลักการลงทุนใหม่ๆ หลักการลงทุนของเขาเรียนมาจากอาจารย์และนายจ้าง คือคุณพ่อของเขา (สมาชิกรัฐสภาอเมริกันและนายหน้าค้าหุ้นที่โอมาฮา)และอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ของเขา ความสำเร็จในธุรกิจและการลงทุนที่ยอดเยี่ยมของเขาไม่ได้เกิดจากสิ่งประดิษฐ์ หรืออวิธีการใดๆ แต่เกิดจากการยึดมั่นในการนำหลักการลงทุนเน้นคุณค่าแบบดั้งเดิมมาปรับใช้
ทักษะ พรรวรรค์ และความเชี่ยวชาญของบัฟเฟตต์ คือการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของธุรกิจ การเรียนรู้คุณค่าของผู้บริหาร (หรือความบกพร่อง)การซื้อธุรกิจในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่า และการจูงใจและเก็บรักษาผู้บริหารที่มีความสามารถจากนั้นจังโยกย้ายเงินลง ทุนส่วนเกินเพื่อให้เกิดผลผลิตเพิ่มขึ้นและจำทำซ้ำๆเป็นวงจร ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด คุณเองก็สามสารถจะสร้างความมั่งคั่งได้เช่นเดียวกัน หากคุณตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตต่ำกว่าระดับรายได้ของคุณ เรียนรู้และทำตามวิธีการของเขา แน่นอนมันอาจจะไม่ใช่หลักการและวิธีการปฏิบัติของเขาเสียทีเดียว แต่เป็นการสอนและตัวอย่างง่ายๆของคุณพ่อของเขา และอาจารย์ในมหาวิทยาลัย

ขอขอบคุณที่มา >> จากหนังสือ มั่งคั่งอย่าง วอเร็น บัฟเฟตต์
ผู้เขียน Robert P. Miles ผู้แปล ดร.กุศยา ลีฬหาวงศ์

การ เทรดโดยการใช้ แนวรับ-แนวต้าน(Trading by using Support and Resistance)

การเทรดโดยใช้แนวรับและแนวต้านนี้ทำได้หลายวิธี ซึ่งผมจะค่อยๆ เขียนลงให้ Blog ให้นะครับซึ่งวันนี้ผมจะเขียนวิธีที่ใช้กันทั่วไปก่อนก็คือ
1 . การเทรดโดยใช้จุดสูงสุดและต่ำสุดในอดีต
วิธี การนี้เราจะใช้จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดในอดีต โดยปกติแล้วจุุดสูงสุดและต่ำสุดนี้จะมีความสำคัญมากเพราะว่าราคาจะกลับ มาทดสอบจุดพวกนี้อีกครั้ง ถ้าผ่านก็ไปต่อ ถ้าไม่ผ่านก็กลับตัว เราจึงใช้จุดพวกนี้ในการเข้าเทรดได้
ดูตัวอย่างจากรูปด้านล่างกันเลยนะ ครับ(ท่านสามารถคลิกที่รูปด้านล่างเพื่อขยายได้ครับ)
จากรูป เป็นกราฟของค่าเงินปอนด์เทียบดอลล่านะครับ ( GBP/USD) ดูที่กราฟราย 1 ชั่วโมงนะครับ จะเห็นว่าผม ได้ขีดเส้นสองเส้นสีแดงเอาไว้ ที่กราฟ และมีราคากำกับอยู่ จะมีสองราคา คือ 1.5045 และ 1.5058 เหตที่ทำไว้สองราคาคือ ในบางครั้งราคาจะกลับแนวต้านนี้ บางที่มันก็มีทดสอบที่ราคาสูงสุด และบางทีมันก็มาทดสอบที่ราคาปิด( Trader ส่วนใหญ่จะใช้ราคาปิดเป็นแนวรับแนวต้านครับ ) เมื่อเราได้ราคาสังเกตการณ์แล้วคือ 1.5045 และ 1.5058 ก็ให้รอ ครับ รอ ร้อ รอ ไปเรื่อยๆ จนกว่าราคามันจะกลับมาเทสจุดที่เราได้ขีดเส้นไว้อีกรอบครับ หลังจากที่รอกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง และแล้ว ราคามันก็กลับมาครับ แต่เราไม่รู้ว่ามันจะทะลุหรือว่ามันจะกลับตัว ดูภาพด้านล่างประกอบเลยครับ
จากรูป จะเห็นว่าราคากลับมาเทสที่ High อีกรอบ เราก็รอดูมันครับ ถ้ามันผ่าน วิธีการนี้ก็ใช้ไม่ได้ รีบสละเรือด่วน ( ถ้าเข้าไว้ ก็ Stop loss ทิ้งไปครับ ) แต่ในกรณีนี้ เหมือนสวรรค์เข้าข้างเราครับ มันชนแนวต้านที่เราขีดไว้ แล้วเด้งกลับทันที เกิดแท่งเทียนกลับ ( Reversal candle ) ครอบคลุมแท่งเทียนขาขึ้น ( Bullish Candle ) มิดด้ามเลยครับ ก็แสดงให้เห็นว่า แนวต้านนี้เป็นแนวต้านที่แข็งน่าดู จึงบอกเราได้ว่า มันกลับตัวแน่นอนครับ เรามาดูภาพต่อไปกันเลยครับ
จากรูป จะเห็นมั้ยครับ ว่า พอราคามันไม่ผ่านแล้ว มันลงยาวเลยครับ เรามีดูวิธีการเข้าออเดอร์ของกราฟลักษณะนี้นะครับ เข้าได้หลายกรณีครับ บางคนก็รอให้ชนเส้นแนวต้านที่เราขีดไว้ก่อนแล้วถ้าเกิดแท่งเทียนกลับตัว ( Reversal Candle ) พวกเขาจึงจะเปิด ออเดอร์ Sell ครับ และบางคนก็ตั้ง Order Sell ไว้ที่เส้นที่เราขีดไว้เลยครับ(ชาวสวนครับ)แล้วก็ตั้ง Sl ไว้ประมาณ 10-50 จุดครับ แล้วแต่ว่าใครอยากเสียกันเยอะ หรือว่าอยากเสียกันน้อยๆ ขึ้นอยู่กับความพอใจครับ ซึ่งเราสามารถใช้วิธีการเข้าออเดอร์ได้ทั้งสองกรณี ทีนี้เรามาดูการตั้งราคาเป้าหมายกันบ้าง เข้าแล้วออกไม่เป็นอีก ไม่รู้จะออกราคาไหน ก็เอาราคาแนวรับของกราฟในอดีตอีกแหระครับ ตั้งทาเก็ต ถ้าลงมาถึง ก็ร่ำรวยกันครับ แต่ในกรณีนี้ ราคาลงมาถึง แนวรับ ที่ผมได้ขีดเส้นไว้เลยครับซึ่งเป็นราคาปิด 1.4581 ใครได้ปิดราคานี้ ถือว่า เซียนมากครับ รับทรัพย์กันเต็มๆ จากยอด ถึง เหว ก็เกือบๆ 500 จุด ครับ แต่รอหลายวันหน่อยนะ แต่ก็คุ้มกับการที่รอคอยครับ
*** เป็นไงบ้างครับ ยากมั้ยวิธีนี้ ผมว่าไม่ยากนะ แต่ไอ้ที่ยากก็คือ เห็นมันบวกแล้วจะพากันปิดก่อน ก่อนถึงทาเก็ต(Target)นะสิครับ อิอิ ผมเองก็ไม่รอมันถึงทาเก็ตหรอกครับ บวก 100 นี่ก็ถือว่า เทพละครับ ** ขอให้ร่ำรวยครับ

การ เทรดโดยการใช้Pivot(Trading by using Pivot)

สวัสดีครับทุกท่าน นี่เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ผมใช้เทรดในปัจจุบัน ถ้ากราฟไหนตรงเงื่อนไขนี้ผมก็มักจะใช้มันในการเทรด ไม่ยากครับวิธีนี้ ง่ายๆ แค่หาจุดกึ่งกลางราคาของราคาเมื่อวานนะครับ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกะไอ้เจ้า Pivot กันก่อนนะครับ ว่ามันมีความสำคัญยังไง Pivot คือ ราคากึ่งกลางของช่วงเวลาที่เราวัด จากจุดสูงสุดถึงต่ำสุด (งงมั้ยครับ.. อิอิ ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน..เอาเป็นว่าเข้าใจกันนะ) เราจะหา Pivot หรือจุดกึ่งกลางได้ยังไง จุด Pivot เราจะหากันจากกราฟของเมื่อวานนะครับ เราดูราคาสูงสุด ( High = H ) ราคาต่ำสุด ( Low =L ) และราคาปิด ( Close=C) เปิดกราฟ Daily นะครับ แล้วใช้เม้าท์ชี้ที่แท่งเทียน แล้วมันจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับราคาพวกนี้นะครับ ( สำหรับท่านที่เทรด Marketiva นะครับ ) ดูรูปด้านล่างนะครับ
เห็น กรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆกันมั้ยครับ ในนั้นจะบอกราคา Open ,High, Low, Close ครับ เราจะใช้ราคา High , Low , Close มาใช้ในการคำนวณเพื่อหา Pivot นะครับ
สูตรที่ใช้ในการคำนวณหาค่า Pivot คือ
Pivot = (High + Low +Close)/3
จุดกึ่งกลางเท่ากับ ราคาสูงสุด บวก ราคาต่ำสุด บวก ราคาปิด แล้วเอาทั้งหมด มาหารด้วย 3 ครับ
หรือ P = (H+L+C)/3
จากตัวอย่างเรา ลองคำนวณกันเล่นๆนะครับ
แทนค่าที่ได้ลงไปในสูตรเลย
High = 1.2577 , Low=1.2353, Close=1.2367
แทนลงไปในสูตรข้างบนครับ
Pivot = ( 1.2577+1.2353+1.2367) เราก็จะได้ ค่า Pivot เท่ากับ 1.2432
พอเราได้ค่า Pivot ของเมื่อวานแล้ว เราก็มาดูกราฟของวันนี้เลยครับ ดูราคาว่ามันวิ่งกลับไปเทสที่ Pivot มั้ย ถ้ามันไปเทส หรือราคาไกล้เคียง เราก็เตรียมเข้าออเดอร์กันได้เลยครับ
ขอนอกเรื่องนิดนึงนะครับ นอกจากเราจะใช้ค่า ราคา High Low Close ในการหา Pivot ได้แล้ว เรายังสามารถใช้ ราคาเหล่านี้ราคา แนวรับและแนวต้านของกราฟได้อีกด้วย เรามาดูกันครับ ว่าหากันยังไง
เมื่อเราได้ค่า Pivot , P แล้ว เราเอา P มาใส่ใน สูตรเหล่านี้นะครับ
อิอิ ผมขออธิบายศัพท์ก่อนนะครับ ลืมๆ
จุด กึ่งกลาง , Pivot, P
แนวรับ (Suport)
แนวรับที่ 1, Support 1 , S1
แนว รับที่ 2, Support 2 , S2
แนวรับที่ 3, Support 3 , S3
แนวต้าน( Resistance)
แนวต้านที่ 1 , Resistance 1, R1
แนวต้านที่ 2 , Resistance 2, R2
แนวต้านที่ 3 , Resistance 3, R3
เรามาดูสูตรที่ใช้ ในการคำนวณค่าเหล่านี้เลยครับ
P=(H+L+C)/3
S1=P-0.382(H-L)
S2=P-0.50(H-L)
S3=P-0.618(H-L)
R1=P+0.382(H-L)
R2=P+0.50(H-L)
R3=P+o.618(H-L)
เรา จะเห็นว่า มีตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ตัวเลขพวกนี้เป็นตัวเลข Fibonacci Number ครับ เด๋วรายละเอียดเราค่อยมาว่ากันในบทความต่อไป หรือถ้าท่านใดอยากศึกษา Search Google เลยครับ มีเพียบบบ
จากสูตรข้างบน เราก็จะได้แนวรับและแนวต้าน พอได้แล้ว เราก็ใช้ Horizontal line แปะไว้บนกราฟเลยครับ ( สำหรับ คนที่เทรด marketiva นะครับ คลิกขวาที่กราฟ แล้วเลือก Indicators >> Horizontal Line )
เพียงแค่นี้ก็จะมีแนว รับแนวต้านของวันอยู่บนกราฟเราละครับ

มาเข้าเรื่องกันต่อครับ การใช้ Pivot ในการเทรดยังไมได้เห็นภาพกันเลย ผมจะใช้กราฟของโปรแกรม Mt4 นะครับ ในการอธิบาย และใช้ Fibonacci Retracement ในการหา ค่า Pivot ค่า Pivot ก็คือค่า 50 % ใน Fibonacci นั่นเองครับ
ก่อนอื่นเซตกราฟ ใน Mt4 ของท่านก่อนนะครับ คลิกขวาที่กราฟ แล้วเลือก Properties ครับ ตามรูปด้านล่างเลยนะครับ
จากนั้น ก็ไปคลิ็ก ที่ช่อง Common แล้วก็ติ็ก ตามรูปเลยนะครับ แล้วกดปุ่ม OK
พอกด OK แล้วจะได้กราฟ หน้าตาแบบนี้นะครับ คลิกขวา เลือก Periodicity ที่ 15 minutes
จากรูป เราจะเห็นเส้นปะแนวตั้ง เส้นนี้คือ มันจะแบ่งช่วงของราคาวันต่อวันครับ เราก็สามารถรู้จุดสูงสุดและต่ำสุดของอดีตได้
เอาล่ะครับ เกริ่นนำมานานมาก หลายท่านคงบ่นแล้วสิ เมื่อไรมึงจะเข้าเรื่องซักทีวะ ++ ใจเย็นๆครับ ท่าน เด๋วผมขอนอกเรื่องนอกซักเรื่องครับ เป็นการตั้งค่า Fibonacci ให้บอก จุด pivot แสดงราคาให้เราได้ด้วย เริ่มกันเลยครับ
ให้ ไปคลิกที่ Insert แล้วก็เลือก Fibonacci แล้วเลือก Retracement นะครับ พอเลิกแล้ว มันจะติดอยู่ที่เมาท์ของเรา เอามันไปจิ้มที่ยอด สูงสุดก่อนครับของช่วงเวลาเมื่อวานนี้ ที่อยู่ในกรอบเส้นปะอ่ะครับ
พอ จิ้มที่สุดสูงสุุด จิ้มค้างไว้นะครับ อย่าพึ่งปล่อยเมาท์ แล้วลากมันลงมาหาจุดต่ำสุดของวันครับ ลากลงมาเลยครับท่าน เราก็จะได้ดังรูปด้านล่างนี้ครับ
จากนั้น ให้ให้คลิกขวาที่ตัว Fibonacci มันจะมีจุดขาวๆขึ้นมาแล้วเลือก Fibonacci Properties หรือไม่เราก็คลิกขวาที่กราฟครับ แล้วเลือก Objects List แล้วเลือก Fibo แล้วคลิกที่ Edit จากนั้น จะขึ้นหน้าต่างใหม่ขึ้นมาตามรูปด้านล่างเลยครับ
ให้ เลือกที่ Fibo Levels นะครับ แล้วให้เรา พิมคำว่า =%$ ต่อท้ายตัวเลขที่ช่อง Descripttion ให้หมดทุกตัวเลยนะครับ ยกเว้น ที่ ช่อง 50 ให้ลบออกครับ แล้วพิมคำว่า Pivot=%$ ลงไป จะได้ตามรูปครับ
ครับ และแล้วเราก็ได้ Pivot แล้ว ซึ่งเป็นราคา Pivot ของวันที่ผ่านมา ซึ่งเราจะเรามาใช้ในการสังเกตการณ์ในกราฟของวันนี้ ที่เรากำลังเล่นอยู่ จากรูปจะเห็นว่า ราคา Pivot อยู่ที่ 1.4933 ซึ่งในช่วงตลาด โตเกียว ราคาจะค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไป จนใกล้ถึงจุด Pivot ของเรา ถ้าราคาไม่สามารถทะลุผ่าน Pivot ขึ้นไป ให้เปิด Sell ได้ทันที จากนั้นก็รอราคาลงมาเรื่อยๆ จนเราพอใจ แล้วเราค่อยปิด เอากำไร การตั้ง stop Loss ของวิธีนี้ ควรตั้งอยู่เหนือ ราคา 61.8( ในกรณีที่เรา Sell แต่ถ้าเรา Buy ก็ตั้งต่ำกว่า 38.2 ไว้ประมาณ 10 จุด) ข้อสังเกตอีกอย่างของวิธีการนี้คือ ถ้าราคาทดสอบ ที่บริเวณ Pivot หรือใกล้เคียงราคา Pivot ให้เราคิดไว้เลยว่า ไม่นานมันจะกลับตัว หรือไม่ก็รอแท่งเทียนยืนยันการกลับตัว ถ้ามีแท่งเทียนกลับตัว เราก็เปิด ออเดอร์ตามมาเลย ดูภาพด้านล่างนะครับ ภาพตัวอย่างนี้ ราคาวิ่งไม่ถึง จุด Pivot แล้วลงมาทันที แล้วลงเยอะด้วย ใคร Sell กำไรบานเลยครับ ดูรูปด้านล่างกันเลยครับ
ไม่ยาก นะครับวิธีนี้ ง่ายๆ แต่ต้องรอหน่อย รอแค่จุด Pivot วันนึงเราอาจจะได้เทรดแค่ครั้งเดียว หรือสองครั้ง
วิธีนี้เหมาะสำหรับ Day Trade นะครับ เล่นรายวันยาวๆหน่อย เด๋วดูตัวอย่างประกอบกันเลยครับ
หวัง ว่าวิธีนี้คงทำให้ทุกคนที่อ่านบทความนี้มีกำไรจากฟอเร็กซ์นะครับ .. ขอให้ร่ำรวยครับ ^^ pipsrunner
Buy ที่ Pivot สบายๆเลยครับ
ราคา กลับมาเทสที่ Pivot สองครั้ง ไม่ผ่าน เรา Sell ได้เลยครับ

ขอขอบคุณที่มา >> http://pipsrunner.blogspot.com/2010/05/pivottrading-by-using-pivot.html

Stochastic

Stochastic เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการเกร็งกำไรในตลาดฟอเร็กซ์ สโตเป็นเครื่องมือวัดการแกว่งของตลาดซึ่งเหมาะกับตลาดไซว์เวย์ (Side way) ไซเวย์หมายความว่ามีการแปลงแปลงของราคาไม่มากนัก สโตเป็นเครื่องมือที่ไวเท่ากับราคา สัญญาณของสโตจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการตัดกัน โดยส่วนมาก ผมจะใช้ สโต ในการดูOverbought / Oversold และ การดู Divergence
สัญลักษณ์ ที่ผมใช้เพื่อให้เข้้าใจกันทุกคนนะครับ
OB=Overbought สัญญาณแรงซื้อเยอะเกินไปแล้ว
OS=Oversold สัญญาณการขายเยอะเกินไปแล้ว
DVB=Divergence Bullish สัญญาณกลับตัวของขาขึ้น
DVBr=Divergence Bearish สัญญาณการกลับตัวของขาลง
มาดดูภาพด้านล่าง ประกอบเลยนะครับ

จากภาพด้านบนจะเห็นว่า ผมได้กำหนดให้เส้นปะสีขาว ที่ระดับ 80 เป็น เขต OB และ เส้นประสีขาวด้านล่างที่ระดับ 20 เป็นเขต OS ซึ่งสโตในรูปผมได้ตั้งค่าไว้ที่ 8- 3 -3 ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานที่ใช้กันโดยทั่วไป มีเส้นสีขาวและสีแดง เป็นเส้นสัญญาณในการพิจาณา ซึ่งดูจากการตัดกันของเส้น

การดู stochastic

1.เมื่อเส้นสัญญาณทั้งสองเส้นได้วิ่่งเข้าสู่ เขต OB ระดับ 80 แล้ว เราก็เริ่มพิจาณากันได้เลยว่า การขึ้นมาของราคาเริ่มจะสิ้นสุดลงแล้ว ให้เตรียมปิดออเดอร์ เมื่อเริ่มมีสัญญาณการกลับตัวนั่นก็คือ เส้นสัญญาณท้งสองเส้นเริ่มตัดกันให้เราปิด ออเดอร์ ที่เรา Buy มาทันที และเตรียมหาสัญญาณ Sell เมื่อเส้นสัญญาณทังสองเ้ส้นได้ตัดกันเรียบร้อยแล้ว

2.เมื่อเส้นสัญาณทั้งสองเส้นได้วิ่งเข้าสู่เขต OS ระดับ 20 แล้ว มันเป็นสัญญาณบอกเราว่า การลงมาของราคาไดใกล้สิ้นสุดแล้ว ให้เราเตรียมปิดออเดอร์ที่เราได้ Sell
มา แล้วเตรียมหาโอกาสเมื่อเส้นสัญญาณทั้งสองเส้นได้กลับตัวแล้วมีการตัดกันเกิด ขึ้น แล้วเราก็เปิด order buy ทันที

3. การดู Divergence ไดเวอร์เจนดูได้สองแบบคือ ดูไดขาขึ้น และไดขาลง ไดขาขึ้นเรียกว่า Divergence Bullish ไดขาลงเีีรียกว่า Divergence Bearish
การดูไดขาขึ้น DVB จากรูปเห็นเส้นสีเหลืองกันมั้ยครับ นั่นแหระครับ คือ Divergence ไดเวอร์เ้จ้นเป็นการลากจุดสองจุดเทียบกัน โดยมีข้อกำหนดที่ว่า ยอดแรกและยอดที่สองต้องไม่เท่ากัน จึงจะเรียกว่าไดเวอร์เจน การดูไดขาขึ้นก็ลากสองยอดเทียบกัน โดยให้ ความชันมีค่าเป็นบวก ถ้าสัญญาณได้เกิดไดเวอร์เจนนั่นก็หมายความว่าราคาจะมีการกลับตัวในไม่ช้า เตรียมเปิดออเดอร์กันได้เลย การใช้ sto ดูไดเวอร์เจนจะไม่ค่อยชัดเจนเหมือนดูจาก CCI , RSI , และ MACD เพราะ stochastic จะเน้นไปทางการดู
Overbought/ Oversold มากกว่า และดูจากการตัดกันของ เส้นสัญญาณทั้งสองเ้ส้นด้วย เพียงแค่นี้เราก็สามารถเกร็งกำไรจากตลาดฟอเร็กโดยใช้ stochastic กันได้แล้ว

ขอขอคุณที่มา >>>> http://www.fx-dd.makewebeasy.com

Moving Average

Moving Average คือเส้นเฉลี่ยการเคลื่อนที่ซึ่งคำนวณมาจากราคาในแต่ละช่วงแล้วนำมาหาค่า เฉลี่ย
การใช้ Moving Average ในการทำกำไร เราจะใช้กับตลาดที่สามารถบอกเทรนได้ ไม่สามารถใช้กับตลาดที่ผันผวนมากๆแกว่งไปแกว่งมา ( Side way)
Moving Average ให้สัญญาณที่ช้า แต่ถ้าเราดูเป็นก็สามารถใช้มันในการเกร็งกำไรได้อย่างง่ายดาย
ประโยชน์ Moving Average
1. ใช้เป็นเส้นแนวรับแนวต้านได้
2. ใช้เพื่อดูแนวโน้ม
3. ใช้ Confirm สัญญาณการเข้าออก
Moving Average ที่่ใช้กันทั่วไป ใช้ แบบ Simple และ Exponential เรียกสั้นๆ ว่า SMA และ EMA
ผมจะยกตัวอย่าง Moving Average ที่ผมใช้ในการเกร็งกำไรนะครับ
Moving Averageที่ผมใช้เป็น แบบ Exponential มีค่า Period 5 , 21 , 55 , 110 และ 200 วัน ทำไมผมจึงเลือกใช้ Exponential ก็เพราะว่า EMA จะให้ค่าที่แม่นตรงกว่า SMA
เรามาดูวิธีการใช้กันเลย
1 . ใช้เพื่อดูแนวรับแนวต้าน(Support And Resistance)
การดูแนวรับแนวต้านเราจะดูที่ช่วงเวลา( Time Frame ) ใหญ่ๆ เพราะที่ช่วง TF ใหญ่ๆจะให้ค่าที่ค่อนข้างแม่นพอสมควร
เมื่อราคาวิ่งผ่าน EMA ไปแล้ว โดยส่วนใหญ่ มันจะวิ่งกลับมาหาเส้นที่มันทะลุอีกครั้งเพื่อทดสอบแนวรับแนวต้าน
ดูรูปประกอบด้านล่าง

จากรูปด้านบน เป็นกราฟ Daily ของ USD/JPY
สีน้ำเงิน เป็น เส้น EMA 5
สีแดง เป็น เส้น EMA 21
สีดำ เป็น เส้น EMA 55
สีส้ม เป็น เส้น EMA 110
สีน้ำตาลเป็น เส้น EMA 200
จากรูปด้านบนเราจะเห็นว่า เมื่อราคาได้ทะลุเส้น EMA แล้วมักจะกลับมาทดสอบอีกครั้ง ลองดูง่ายๆนะครับ เราจะเห็นกราฟ ยูเจ เป็นช่วงขาลง
และราคาได้ปรับตัวขึ้นไป เส้นแนวต้านเส้นแรกก็คือ EMA 5 ถ้าทะลุ เส้นนี้ก็ไป EMA 21 ถ้าทะลุ 21 ก็ไปหาเส้น 55 ถ้าทะลุก็ไปต่อเรื่อยๆ
เส้น EMA 200 จะเป็นแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่งมาก ถ้าทะลุไปก็คือเปลี่ยนแนวโน้มทันที ห้ามสวนเทรน เราอาจจะใช้ เส้น EMA 200 เพื่อบอกเทรนก็ได้
เราสามารถประยุกต์ EMA นี้ ได้กับ ทุก Time Frame เพื่อทำกำไรในตลาดฟอเร็ก

2. เราจะใช้ EMA เพื่อบอกแนวโน้ม ดังรูปด้านล่าง
EMA สามารถบอกแนวโน้มเราได้ ว่าขณะนี้เป็น เทรนขึ้นหรือลง
แนวโน้มขั้น ( Up Trend) จะเป็นแนวโน้มขึ้นก็ต่อเมื่อ ราคาได้ทะลุ EMA ทุกเส้นขึ้นไปทั้งหมด และราคาปิดสามารถอยู่เหนือ EMA
(การดูแนวโน้ม ให้ดูที่กราฟ สี่ชั่วโมงขึ้นไป เพราะกราฟใหญ่ๆจะไม่หลอกเรา )
แนวโน้มลง (Down Trend ) จะเป็นแนวโน้มลงก็ต่อเมื่อ ราคาได้ทะลุ EMA ทุกเส้นลงมาทั้งหมด และราคาปิดอยู่ใต้เส้น EMA

3.ใช้ Confirm สัญญาณการเข้า-ออก เราสามารถใช้ EMA ในการซื้อขาย ได้ หลักการดูก็คือ ดูการตัดกันของ EMA โดยเริ่มจาก EMA ที่มีค่าน้อยตัด EMA ค่ามาก
เช่น EMA 5 ตัดกับ EMA 20 ตัดขึ้นไป เราก็เข้าซื้อ BUY/LONG หรือ EMA 5 ตัดกับ EMA 20 ตัดลงมาก เราก็เข้าขาย Sell/Short ดูตัวอย่างจากรูปด้านล่าง
จากรูป ดูที่ขอบด้านซ้าย EMA 5 เริ่มตัด เส้นEMA 21 นั้นเป็นสัญญาณบอกแล้วว่า แนวโน้มได้เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว และ เส้น EMA 5 ก็ทะลุเส้น EMA 21 , 55 ,100 ,200
เราก็คาดการณ์ได้เลย ว่าเป็นแนวโน้มลงแน่นอน สังเกตุที่แท่งเทียน แท่งเทียนได้ทะลุ EMA 5 ลงมาแล้ว และมันก็กลับไปเทสที่ตัวมันเองอีกครั้งแต่ไม่ผ่าน แล้ว
ราคาก็ไต่ระดับลงมาอีกแล้วก็กลับไปทดสอบเส้น EMA 5 และ EMA 21 กราฟแบบนี้สวยมาก เป็นการลงต่อเนื่อง ไม่สามารถทะลุ EMA ที่มีค่าน้อยๆไปได้ นั่นหมายความว่า
ราคายังจะลงต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเส้น EMA 5 จะทะลุเส้น EMA 21 ขึ้นไป เราจึงมองว่ามันเป็นขาขึ้น อย่าสวนเทรนกันเด็ดขาด

เมื่อเรารู้แล้วว่าแนวโน้มใหญ่ไปทางไหน ขึ้นหรือลง เราก็มามองหาราคาที่เราจะเปิดออเดอร์ เราควรหาราคาเข้าที่ Time Frame เล็กๆ
เมื่อแนวโน้มของ Time Frame เล็กๆ ตรงกับ แนวโน้มของ Time Frame ใหญ่ เราจึงเปิดออเดอร์ ... ขอให้ทุกท่านโชคดี ครับ

ขอขอบคุณที่มา >> http://www.fx-dd.makewebeasy.com

MACD( Moving Average Convergence Divergence)

Moving Average Convergence Divergence (MACD)
เป็นเครื่องมือวัดความแรงของตลาด ซึ่งได้คำนวณค่าจากเส้นการเคลื่อนที่ของราคา 2เส้นMACD ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ เส้น Moving Average , Signal Line , และ Histogram ดังรูปด้านล่าง

จากรูปด้านบน EUR/USD 4 Hours กราฟแบบแท่งเทียน(Candlestick)
เส้นสีแดงเป็น Signal Line
เส้นสีน้ำเงินเป็นเส้น Moving Average
ส่วนสีเงินเป็น Histogram ฺBar
MACD จะ แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง คือ ด้านบนและด้านล่าง โดยมีเส้น Zero Line กลั้นอยู่ โดยด้านบนเราจะเรียกว่า แดนบวก( Bullish zone) และด้านล่างจะเรียกว่า แดนลบ (Bearish Zone)
พิจาณารปด้านบน
จากหมายเลข 1 เราจะเห็นว่า เส้น Moving Average สีน้ำเงิน ตัดกับเส้น Signal Line สีแดง เมื่อ ตัดผ่าน เราก็เข้าซื้อ (Buy/Long) กันได้เลย เมื่อเข้าแล้ว ถ้าราคาเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้นก็ปล่อยไปเรื่อยๆ หรืออาจจตั้งเป้าหมายเอาไว้ ขึ้นอยู่กับความพอใจของทุกท่านว่าจะเอาเท่าไร เราจะปิดก็ต่อเมื่อเส้นสีน้ำเงิน ตัดกับ เ้ส้นสีแดงอีกครั้ง เราก็ทำการปิดออเดอร์ดังรูปหมายเลข 2 จากนั้น ก็รอหาจังหวะในการเข้าทำกำไรใหม่อีกครั้ง จะเห็นว่า หมายเลข2 เป็นสัญญาณขาย ( Sell/ Short) เราก็เซลเมื่อเส้นสีน้ำเงินตัดกับสีแดง และรอปิดเมื่อเส้นสีน้ำเงินตัดสีแดงอีกครั้ง เราจะเห็นว่าช่วงที่ 2- 3 ไม่น่าเปิดออเดอร์
ต่อไป เรามาทำการพิจารณา Histogram ในช่วงหมายเลข 2 ถึง หมายเลข 3 จะพบว่า Histogram(สีเงิน) ทำยอดคลื่นต่ำลงเรื่อยๆ นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ราคาในขาขึ้นเริ่มหมดแรงแล้ว ในภาษาทางเทคนิค เรียกกันว่า Divergence ราคายังเป็นขาขึ้นอยู่ แต่ Macd-Histogram เริ่มปรับตัวลง เราก็เริ่มมองหาสัญญาณขาย( Sell/Short) กันได้เลย ดังหมายเลข 3 สีน้ำเงินตัดกับสีแดง สัญญาณConfirm ว่าให้ Sell คือหมายเลข 7 ตำแหน่งนี้เป็นการบ่งบอกที่ชัดเจนมากเพราะเส้นสีน้ำเงินและ Histogram ตัดกับ Zero Line ซึ่งหมายความว่าตลาดได้เข้าสู่สภาวะกระทิง (ฺำBearish Market) ตลาดขาลง เมื่อเรา Sell แล้วก็ปล่อยให้ราคาวิ่งไปเรื่อย เมื่อเส้นสีน้ำเงินตัดเส้นสีแดงอีกครั้งเราก็ทำการปิดออเดอร์ และรอจังหวะ เพื่อ ที่จะซื้อกลับอีกรอบ
ต่อไปเรามาพิจารณาหมายเลข 4 และหมายเลข 5 จะดังเกตว่า Histogram ทำการปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ ในขณที่ราคาด้านบนก็ยังมีการปรับตัวลง นี่คือ Divergence bullish เราจะเห็นว่า สันคลื่นของหมายเลข 5 สูงกว่า หมายเลข 4 นั่นหมายความว่า ราคาจะเกิดการกลับตัวในไม่ช้า เราจะรู้ได้ไงว่าราคาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง เราก็ดูการตัดกันของเส้นสีน้ำเงินตัดกับสีแดงเหมือนเดิม ถ้าสีน้ำเงินตัดสีแดงขึ้น ก็ทำการ ซื้อ Buy กันได้เลย เมื่อเราได้ทำการซื้อ ฺBuy ในหมายเลข 5 สัญญาณ คอนเฟริม ก็คือ เส้นสีน้ำเงินและ Histogram ได้ตัดเส้น Zero Line ขึ้นไป(หมายเลข 6 ) หมายเลข 6 จะเป็นตำแหน่งซื้อ Buy ที่ปลอดภัย เพราะตลาดได้เข้าสู่สภาวะขาขึ้น ( Bullish Market) นักลงทุนบางคนจะรอเข้า แค่ตรงนี้เพราะพวกเขาถือว่า เปิดออเดอร์ในราคาที่ปลอดภัยดีกว่าเิปิดออเดอร์ในราคาที่สวย
เราจะเห็นว่า MACD จะวิ่งเป็นรอบ ขึ้น ลง ขึ้น MACD ให้สัญญาณช้า แต่ว่ามีความแม่นตรงค่อนข้างสูง มันจึงถูกยกย่องให้เป็น อินดิเคเตอร์เทพ แห่งฟอเร็กซ์
การดู MACD นั้น ไม่ยาก แค่ดูการตัดกันไปตัดกันมา ของเส้นสีน้ำเงินและสีแดง และ ดูว่าเส้นสีน้ำเงินและ Histogram ตัดผ่าน Zero Line เพียงแค่นี้เราก็สามารถทำกำไรจาก ตลาด ฟอเร็กได้แน่นอน

รูปตัวอย่างการเทรดโดยใช้ MACD อย่างเดียว



Divergence Bulish คือ ราคาทำราคาต่ำสุดใหม่ เมื่อเทียบกับยอดเก่า แต่ Indicator ทำยอดสูงขึ้นเรื่อยๆDivergence Bearish คือ ราคาทำราคาสูงสุดใหม่ เมื่อเทียบกับยอดเดิม แต่ Indicator ทำ ยอดต่ำลงมาเรื่อยๆ
Side way คือ ราคาวิ่งไปวิ่งมา ในกรอบราคาแคบๆ ไม่มีเทรนที่ชัดเจน ช่วงนี้ ไม่น่าเทรด เพราะอาจจะทำให้เราปวดหัวได้

ขอขอบคุณที่มา >>> http://www.fx-dd.makewebeasy.com

Share

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites