This is default featured post 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured post 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured post 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured post 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured post 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

หนังสือ Elliott Wave

Elliott Wave  E-Book  หนังสือสำหรับการศึกษาทฤษฎีคลื่น Elliott Wave 
ชื่อหนังสือ Mastering Elliott  Wave แต่งโดย Glenn Neely 
หนังสือเล่มนี้ได้เขียนเกี่ยวกับ ทฤษฎีของ Elliott Wave ไว้ครบถ้วน และเป็นต้นฉบับเลยก็ว่าได้สำหรับการศึกษา ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave 
 ในหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย 12 Chapter
Charpter 1 Elementary Discussion จะอธิบายถึงที่มาว่า ทฤษฎีคลื่นอีเลียตเวฟคืออะไร ทำไมต้องศึกษา Elliott Wave 
Charpter 2 General Concept คอนเซ็บทั่วไปของอีเลียตเวฟ ว่า คลื่นคืออะไร 
Charpter 3 Preliminary Analysis  การวิเคราะห์เบื้องต้น เรียนรู้ว่า Monowave คืออะไร และกฎการปรับฐานมีอะไรบ้าง 
Charpter 4 Intermediary Observations จะบรรยาถึง Monowave Group และ Rule of Similarity and balance 
Charpter 5  Central Consideration  บทนี้เป็นหัวใจสำคัญ จะบรรยายถึง Impulsion  และ Correction Wave 
Charpter 6 Post Constructive Rules Of Logic  อธิบายถึง Impulsion และ Corrections ต่อ .
Charpter 7 Conclusions 
Charpter 8 Construction Of Complex Polywaves Multiwave etc, 
Charpter 9 Basic Neely Extension , Trendline Touch point , Time rule 
Charpter 10 Advance Logic Rules , Pattern Implication 
Charpter 11 Advance Progress Label Application , Impulse Pattern and Corrective Pattern 
Chapter 12 Advance Neely Extension 

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

จิตวิทยาในการเล่นหุ้น

จิตวิทยาในการเล่นหุ้น
จากหนังสือ คัมภีร์หุ้น

       ทำไมหลายคนซื้อหุ้นตัวไหนตัวนั้นจะลง แต่พอขายแล้วหุ้นกลับขึ้น หลายคนที่เล่นหุ้นในปัจจุบันจะรู้สึกเหมือนโชคไม่เข้าข้าง จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของดวงหรืออะไรกันแน่ ทฤษฎีการลงทุนต่างๆ ควรจะใช้ได้ดี เพราะหลักการลงทุนผู้ลงทุนควรจะเลือกลงทุนสิ่่งที่ดีและอยากได้กำไรไม่อยากขาดทุน แต่จริงๆกลยุทธิ์ต่างๆกลับใช้ไม่ได้ผลเพราะนักลงทุนแต่ละคนเองมี"อคติ"ยอมขาดทุน หากคิดว่าหุ้นจะลงต่อ หรือยอมซื้อของที่แพงมากหากคิดว่ามันจะขึ้นไปต่อ สิ่งที่นักลงทุนทุกคนใช้ จริงๆจึงเป็นการ"คาดคะเน" ใช้ "สมอง"ประมวลสิ่งต่างๆจากข่าวสารและปัจจัยโดยรอบแต่หารู้ไม่ว่า สมองมีกระบวนการตัดสินใจลึกๆภายในที่ขึ้นอยู่กับ"อารมณ์"มากกว่า "เหตผล"ยกตัวอย่างการเลือกคู่ครองที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตผลแม้คนที่เรียนเก่ง มีสมองดีที่สุดก็มักใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตมากกว่าเหตผล
      นาย เวอร์นอน สมิธ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2002 ผู้ที่ศึกษาการเงินเชิงพฤติกรรมเคยกล่าวไว้ว่า "นักลงทุนทุกคนมีกล่องดำที่เป็นส่วนประมวลผลการตัดสินใจอยู่ในสมองโดยไม่มีใครรู้ว่ากล่องดำอันนี้มีวิธีในการตัดสินใจอย่างไร แต่กระบวนการตัดสินใจนี้ไม่มีเหตผล เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของจิตใจเป็นหลัก" เมื่อคนแต่ละคนไม่ได้ใช้ความมีเหตุ มีผลในการคิดแล้วการลงทุนที่เป็นสิ่งสะท้อนความคิดของนักลงทุนแต่ละคน ย่อมไม่มีเหตุผล ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย มีคนเคยตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่เรียนด้านการลงทุน เก่งที่ 1-10 อันดับของระดับมหาวิทยาลัย Wharton กับไม่เคยมีชื่อเสียงในวงการลงทุนเลย ทำไมคนที่ IQ สูงขนาดนั้นถึงได้ไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นกัน
       ย้อนกลับมาที่ตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่า คนที่ยิ่งฉลาด ยิ่งขาดทุนมากในตลาดหุ้น แต่คนที่ฉลาดปานกลางแต่หากมี EQ สูงแล้ว กลับสามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่าเหตผลทั้งหมดจะค่อยๆถูกเฉลยในบทต่อๆไป ลองดูเหตการเหล่านี้
       Ex1. คุณคิดว่าบริษัท A ผลประกอบการณ์ออกมาดีแน่ เลยซื้อหุ้นที่ราคาสิบบาท ตั้งใจจะขายในระยะสั้นๆที่่ 12 บาท เมื่อผลประกอบการณ์ออก แต่พอผลประกอบการณ์ออกมาดีดังคาดไว้ แต่ราคาหุ้นตกลงไป 8 บาท คุณทำใจขายทิ้งไม่ได้ (Avoid Regret) และคิดว่าหากราคาหุ้นกลับมาแค่เพียง10 บาท เท่าทุนก็จะขายไป ( Referance Point)
      EX2. คุณซื้อหุ้นที่บริษัท B ที่ราคา 10 บาทจำนวน หมื่น หุ้น พอราคาหุ้นวิ่งไป 12 บาท คุณขายทำกำไรไป 20000 บาท พอราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป 15 บาท คุณรู้สึกเสียดายอย่างมาก(เจ็บใจที่ขายเร็ว ขายหมู) พอราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาที่ 13 บาท คุณซื้อหุ้นกลับมาแต่คราวนี้ซื้อไป 20000 หุ้นเลย เพื่อเอากำไรเยอะๆ (โลภ เพราะพึ่งได้กำไรมา) ซื้อแล้วหุ้นวิ่งกลับไป 10 บาท เหมือนเดิม ปรากฏว่าเบ็ดเสร็จแล้วคุณขาดทุน 40000 บาท (งง?)
      แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ท่านเคยประสบมาหรือเคยได้รับคำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าโปรดอย่าตามหลัง "มวลชน" แบบหลับหูหลับตา อันที่จริงคำว่า"มวลชน"นั้นไม่ใช่อื่นใด หากแต่เป็น"เรา "และ "ท่าน" นั้นเอง พฤติกรรมของ "มวลชน" ก็คือพฤติกรรมของคนทั่วไปหากมวลชนตัดสินใจผิดพลาดหรือเกิดปฏิกริยาทางอารมณ์อย่างรุนแรงเพราะความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เราและท่าน ก็ตกออยู่ในสภาพเช่นนั้นด้วยเช่นกัน
     ดังนั้นลำพังการคิดว่าเราต้องปฏิบัติให้แตกต่างจากคนอื่นไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะเรื่องเหล่านี้คนส่วนใหญ่ต่างทราบดีว่าควรทำอะไร ยกตัวอย่าง การสูบบุหรี่ ทุกคนทราบดีกว่า การเลิกบุหรี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่หากไม่"ปฏิบัติ"ก็ไม่มีทางก้าวพ้นจากอุปสรรคทางความคิดและอารมณ์ที่ส่งผลให้เราไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นได้
       ใน"วิกฤติ มีโอกาส" แต่จะมีซักกี่คน ที่มองข้ามผ่านเมฆหมอกแห่งความกังวลเห็นถึงวันข้างหน้าที่สดใสได้ ในเมื่อบรรยากาศทั้งหมด มันไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างดูจะแย่ลง แย่ลง คนเรามองเห็นสิ่งที่ใจรู้สึกหากบรรยากาศรอบตัวร้อนเราก็จะเห็นแค่ความร้อน เราจะนึกถึงเวลาอากาศเย็นไม่ถูกเลย สิ่งเหล่านี้เป็นวิทยาสาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่า คนเราใช้ความรู้สึก ณ ขณะนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินใจเรื่องใดๆ เช่น เวลาคนหิวจะชอปปิ้งมากกว่าเวลาอิ่มเป็นต้น

       อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจ
คุณอาจคิดว่าอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสีย ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ แต่จริงๆไม่ใช่แม้คนที่มีเหตผลที่สุดหากขาดซึ่งอารมณ์ ก็จะไม่สามารถตัดสินใจใดๆได้ โดยเคยมีการศึกษาเรื่องนี้โดยนักประสาทวิทยา ชื่อ แอนโทนิโอ ดามาชิโอ ได้รายงานว่ามีคนไข้ที่สมองส่วน Ventromedical Frontal Crotices ถูกทำลายซึ่้งเป็นสมองส่วนที่ทำให้เกิดอารมณ์ แต่สมองส่วนความจำความฉลาดและความสามารถในการใช้เหตผลยังเป็นปกติอยู่ แต่จากการทดลองหลายครั้งพบว่า การปราศจากอารมณ์ในกระบวนการตัดสินใจได้ทำลายความสามารถในการตัดสินใจอย่างสมเหตสมผล หมดไปด้วย
       ดังนั้นหากสถานการณ์ไม่ดี ทิศทางที่สมองที่คิดได้ จากข่าวสารและความรู้สึกคือ สิ่งที่ดำเนินต่อไป ของความไม่ดี จะให้สมองสั่งการว่า "ดี" จะเป็นการยากสมองจะสั่งการขัดแย้งออกมาทันทีว่า "ดีจริงหรือ" ใช้เหตผลอะไรที่คิดว่ามันจะดี ? ดังนั้นการซื้อหุ้นตอนที่บรรยากาศร้ายสุด แม้แต่คุณเองยังกลัว คงทำได้ยาก เพราะสมองจะคิดขัดแย้งออกมาว่า "จริงหรือ คราวนี้อาจลงยาวนะ"

       เครื่องมือเทคนิคกับอารมณ์
         บางคนบอกว่าหากเราไม่ใช้อารมณ์เข้ามาในการลงทุนหุ้นแต่เชื่อเฉพาะเครื่องมือทางเทคนิคซึ่งเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้อ้างอิงใดๆเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาดล่ะ จะได้ผลหรือไม่? คำตอบแรก ก็ต้องบอกว่าท่านที่คิดแบบนี้ ยังไม่เข้าใจเครื่องเทคนิคที่ดีพอ เพราะจริงๆแล้วเครื่องมือทางเทคนิคคือการใช้หลักสถิติศาสตร์ถอดแบบสภาพความเป็นจริงในตลาดหุ้นแล้วนำมาพยากรณ์ความเป็นไปได้ต่อไป ซึ่งความเป็นจริงในตลาดหุ้นที่ถูกนำมาถอดแบบนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์"ความกลัว" และ "ความโลภ" ดังนั้นการใช้เครื่องมือก็ยังอิงกับอารมณ์ของตลาดอยู่ดี
         คำตอบที่สอง ขออ้างถึงคุณ J. Wells wilder เจ้าของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคยอดนิยม เช่น RSI (Relative Strength Index) PAR(Parabolic Sar) MOM ( Momentum) Volatility( แรงกระเพื่อมของระดับราคา) ซึ่งเครื่องมือทางเทคนิคเหล่านี้ สร้างชื่อเสียงให้กับ Wilder เป็นอย่างมาก แต่ในภายหลัง เขาได้ออกบทความใหม่ ที่ชื่อว่า Adam's Theory เป็นการปฏิเสธเครื่องมือทางเทคนิคของเขาที่คิดค้นมาก่อนหน้า โดยเขาบอกว่า ทฤษฎีใหม่นี้เป็นการตกผลึกในความคิด ความเข้าใจ ในเรื่องการลงทุน หลายสิบปีที่เขามี
         ทฤษฎี Adam ตั้งอยู่บนข้อสรุปที่ว่า"ไม่มีเครื่องมือวิเคราะห์อันไหนที่สมบูรณ์ในตัว ที่สามารถชี้นำการตัดสินใจ ลงทุนได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง 100% แต่เครื่องมือแต่ละชิ้นที่มีอยู่ในวงการ ต่างมีข้อบกพร่องในตัวเองไม่อาจ"จับตลาด"จนอยู่หมัดได้ ด้วยเหตุว่าตลาดว่า ตลาดนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่มีลักษณะตายตัว แต่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นได้ตลอดเวลา
        เขาตั้งคำถามว่า "หากเครื่องมือเหล่านั้นแม่นยำจริง ทำไมนักลงทุน ที่ใช้เครื่องมือเหล่านั้น จึงยังประสบความขาดทุนอยู่ เครื่องมือเหล่านั้นจะวิเคราะห์เฉพาะจุด ไม่ผิดกับตาดบอด คลำช้าง ไม่เห็นภาพรวมของตลาดหรือของตัวหุ้นนั้นๆ มันไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ผันแปรอยู่เสมอของตลาดหุ้นได้ "
        ดังนั้นแม้เครื่องมือต่างอาจจะไม่มีความสมบูรณ์ในตัวมัน แต่หากเราเข้าใขอารมณ์ตลาด มาผสมผสานการ การวางแผน การลงทุนที่เข้าใจหลักจิตวิทยามวลชน การเล่นหุ้นจะทำได้ดียิ่งขึ้น โดยวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องอารมณ์นั้น จากหนังสือหลายๆเล่ม พอสรุปเหมือนกันได้ดังนี้
อ่านต่อบทความต่อไปครับ
     

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

Divergence and Convergence Trading

 Divergence and Convergence Trading
สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคน วันนี้ขอนำเสนอ วิธีการเทรดโดยการดู Divergence วิธีนี้เทรดเดอร์มือใหม่ควรจะเรียนรู้เอาไว้นะครับ เพราะสามารถใช้ทำกำไรได้ดีทีเดียว เทรดเดอร์บางคนเทรดมาหลายปีแล้วยังไม่รู้เลยครับ ว่า Divergence และ Convergence คืออะไร วันนี้ 9professionaltrader จะเขียนบทความให้อ่านนะครับ
Divergence เป็นการวิเคราะห์ทางเทคนิคอีกแบบหนึ่งที่นิยมใช้กันมากในการวิเคราะห์ ในตลาดฟอเร็กซ์หรือแม้แต่ตลาดหุ้น  เพราะ Divergence เป็นวิธีการเทรดที่ง่ายและเข้าใจง่าย
  • Divergence คือ การแยกออกจากกัน ความขัดแย้งกันของราคาและตัวชี้วัด(Indicator) หมายความว่า ทิศทางของราคาและทิศทางของตัวชี้วัด Indicator จะตรงกันข้ามกัน 
  • Convergence คือ การลู่เข้ามาหากัน ลู่เข้ามาบรรจบกัน ในการวิเคราะห์เราจะหมายความว่า ทิศทางของราคา และทิศทางของตัวชี้วัด Indicator จะไปในทิศทางเดียวกัน 
ตัวชี้วัด Indicators ที่ใช้ในการดู Divergence และ Convergence ที่ใช้กันทั่วไป ส่วนมากจะเป็น Oscillators Indicator คือ Indicators ที่วัดการแกว่งของราคา ได้แก่ Relative Strength Index (RSI) , Moving Average Convergence Divergence (Macd) , Stochastic Slow (Sto) , Commodity Channel Index และ William's Percent Range (W%R)
ตัวชี้วัดเหล่านี้ ผมได้ทดลองใช้แล้วพบว่าดีที่สุดสำหรับการดู Divergence
  •  Divergence มี 2 ประเภท คือDivergence Bullish คือ ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่(New Low) เมื่อเทียบกับจุดต่ำสุดเก่า (Low)  แต่ตัวชี้วัด(indicator) ทำจุดต่ำสุดใหม่(New Low) สูงกว่าจุดต่ำสุดเก่า(Low)  ดูรูปด้านล่างครับ
      Bullish Divergence

      จากรูปจะเห็นว่าความชันของ Indivator จะเป็นบวก

      EX. Bullish Divergence Chart เป็นกราฟ ของ GBP/USD



      -ทริคในการดู Bullish Divergence ให้ได้ผลออกมาดีที่สุด คือ เราต้องรอให้ราคาที่มาทำ New Low มีการดีดตัวกลับก่อน ตรงตำแหน่ง New Low ต้องเกิด Bullish Candle คือมีการดีดตัวกลับ แล้วเราจึงมาดู Indicator ว่า New Low มันสูงกว่า Low เดิมมั้ย ถ้ามันสูงกว่า นี่คือสัญญาณ Bullish Divergence เราสามารถเปิดออเดอร์ Buy(Long) ได้เลยครับ




      • Divergence Bearish คือ ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) สูงกว่าจุดสูงสุดเก่า (Low) แต่ตัวชี้วัด (Indicator) ทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) ต่ำกว่าจุดสูงสุดเก่า (High) ดูที่รูปด้านล่างครับ
       จากรูปเราจะเห็นว่า ความชันของอินดิเคอร์เตอร์ จะเป็นลบ 


      Ex. ตัวอย่างกราฟ Divergence Bearish เป็นกราฟ EUR/USD 4 H
       จากรูปเราจะเห็นว่า ราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่า แต่อินดี้ของเรากลับทำจุดสูงสุดใหม่ต่ำกว่าเก่า แบบนี้เราเรียกว่า Divergence Bearish ครับ 
      ทริคในการสังเกตไดเวอร์เจนประเภทนี้ คือเราต้องรอให้ราคาหยุดนิ่งก่อน อย่าไปสวนขณะที่มันกำลังพุ่งขึ้นเด็ดขาด ต้องรอให้มีการกลับตัวเล็กน้อย โดยดูจากแท่งเทียน ถ้ามีแท่งเทียนกลับตัว Bearish Candle , Reverse Candle และมาดูที่ Indicator ถ้ามันต่ำกว่า High เก่า เราก็สามารถ Sell (Short) 
      ได้เลย

      วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

      ผลงานการเทรดของสมาชิก blog 9prof สัปดาห์นี้ขอนำเสนอผลงานของ nana ครับ

      วันนี้ขอโชว์ผลงานของนานาหน่อยนะเพื่อนๆ พอดีเธอส่งผลงานมาให้ผมดู เห็นแล้วน้ำลายไหล อยากได้ซัก 2 ดอล 555+ ผลงานยอดเยี่ยมครับ กำไร มากกว่า 50 % กับผลงาน 1 อาทิตย์ ดูจากการเปิดออเดอร์แล้ว เธอ Buy อย่างเดียวครับ ดูจาก Statement เทรดทั้งหมด 93 ครั้ง Win Trade 84ครั้ง Loss Trade 9 ครั้ง คิดเป็นเปอร์เซน 90.32% win สุดยอดครับ ดูจากกราฟ จะเห็นว่ากราฟร่วงลงมา นั่นไม่ใช่เทรดเสียนะครับ เธอเบิกไปกินขนม โอ้ว..แม่เจ้า ขนมห่อล่ะ 800 ดอล ร่ำรวยครับ นานา ขอให้รักษาระดับการเทรดของตัวเองให้ได้แบบนี้ตลอดนะครับ


      สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่ต้องการโชวผลงานการเทรด ส่งผลงานมาได้นะครับ โดยส่งมาที่ email : ween_me_kmitnb@hotmail.com ผมจะอัพขึ้น บล๊อคให้ เป็นกิจกรรมเสาร์ อาทิตย์ เอาไว้ให้กำลังใจสำหรับคนใหม่ๆ ที่พึ่งเข้าวงการ ว่า" ถ้าคุณตั้งใจและศึกษามันอย่างจริงจัง ก็สามารถมีกำไรจาก ตลาดฟอเร็กซ์ได้ครับ"

      วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

      Forex Brokers

      Forex Brokers สำหรับการเทรด Forex  โบรกเกอร์ที่ 9professionaltrader ใช้เทรดมีทั้งหมด 3 โบรกหลักๆคือ Instaforex Fxopen และ Exness ซึ่งผมจะเปรียบให้ดูกันว่าแต่ละโบรกเกอร์มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ดูรายละเอียดที่ด้านล่างเลยครับ

      FxOpen




      Instaforex เป็นโบรกเกอร์ที่ได้รับความยอดนิยมมาก ณ ตอนนี้ จุดเด่นของโบรกนี้คือ เรื่องโบนัส ให้โบนัสเยอะมาก 30% ของเงินฝาก

      รายละเอียดทั่วไปของโบรกเกอร์ Instaforex
      • เสปรด(Spread)เริ่มต้น  3 pips  ได้แก่ค่าเงิน EUR/USD , GBP/USD 
      • Leverage สูงถึง 1:1000  เทรดที่ 0.1 Lot ใช้ Margin 1.87 $ ( โบรกเกอร์ Marketiva ใช้มาจิ้น 10 $ กำไรขาดทุนจุดละ 10เซนต์)
      • Support ใช้ความช่วยเหลือ 24ชั่วโมง 5 วันทำการ แต่ถ้าต้องการติดต่อเรื่องการเงิน ต้องติดต่อภายในเวลา 14.00-24.00 ตามเวลาประเทศไทย( การถอนเงินควรถอนช่วงนี้)
      • ฝากเงินเข้าต่ำสุด 1 ดอลล่าร์ และเทรดได้ต่ำสุด 0.01lot จุดละ 1 Cent ถ้าเทียบกับ Marketiva ก็เทรดที่ 1 ดอลล่า จุดละ 1 เซนต์เช่นกัน การฝากเงินเข้าแบบอัตโนมัติ
      • การถอนเงิน ระยะเวลาให้การถอนเงิน 3ชั่วโมงถึง 2 วัน สำหรับการถอนเข้า LibertyReserve และ Webmoney Transfer 
      • สามารถเทรดทองคำ Gold ได้
      • Swap ดอกเบี้ยข้ามคืน มีสองบัญชี คือ แบบมี สวอป และไม่มี สวอป เราสามารถเลือกได้
      • วิธีการสมัคร สามารถดูได้ที่นี่  ขั้นตอนการเปิดบัญชีกับ Instaforex 
      • Instaforex ให้โบนัสสำหรับการฝาก 30 % ของเงินที่ฝาก สามารถดูขั้นตอนการฝากเงินและรับโบนัสได้ที่นี่  ขั้นตอนการรับโบนัสของ Instaforex
      • เทรดบนโปรแกรมเทรด MetaTrader4,Mt4 สามารถดูวิธีการติดตั้ง Mt4 ได้ที่นี่ วิธีการติดตั้ง Mt4
      • หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโบรกเกอร์ Instaforex สามารถสอบถามได้ที่ ช่อง Comment ด้านล่าง หรือติดต่อผมทาง Email : ween_me_kmitnb@hotmail.com

      วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

      เคล็ดลับในการใช้โปรแกรมเทรด MT4 , Hot Key และการตั้งค่าต่างๆในโปรแกรมเทรด

      เคล็ดลับในการใช้โปรแกรมเทรด MT4 , Hot Key และการตั้งค่าต่างๆในโปรแกรมเทรด

      -การใช้ Full Screen เต็มจอ: กด F11 เพื่อขยายดูกราฟเต็มจอ และกด F11 เพื่อคืนค่าเดิม


      -ctrl+m=Market watch ตารางแสดงค่าเงิน


      -ctrl+n= Navigator ในส่วนของ Navigator นี้จะแสดง Account , Expert advisor , Indicators , Custom Indicators และ Scripts


      -Ctrl+t=Terminal  จะแสดงหน้าต่างการเทรดของเราเอง ซึ่งจะมี Trade , Account History,News, Alerts , Mailbox,Expert และ Journal

      เราสามารถย่อหน้าต่าง Terminal ลงได้ โดยการคลิกเม้าซ้าย2 ครั้ง ที่แท็บ Terminal
      นอกจากนี้เรายังสามารถลาก (Drag) Terminal ไปไว้ตรงไหนก็ได้ โดยการคลิกซ้ายค้างที่ Terminal แล้วก็ลากไปใส่ไว้บนกราฟ

      -Ctrl+d =Data window เป็นการแสดงรายละเอียดของกราฟเรา


      - เมื่อต้องการให้หน้าต่างของเรากลับมาเหมือนเดิมก็กด F11
      -Ctrl+B = Objects list รายการเครื่องมือต่างๆ ที่เราใช้ วาดเขียนอยู่บนกราฟ ถ้าเราต้องการลบหรือแก้ไข สามารถกด Ctrl+B ได้ 
      -Ctrl+I = Indicators List กดดูรายการอินดิเคเตอร์ที่อยู่บนกราฟของเรา


      การใช้ Hot Key : การใช้ Hot Key เพื่อความสะดวกในการเปิดปิดออเดอร์ การใช้ Indicators , Scripts , EA ตัวต่างๆ  เราสามารถสร้างกำหนด Hot Key  ให้ใช้งานบนคีบอร์ดของเราได้

      เช่น ผมต้องการที่จะใช้ MACD โดยไปที่ Ctrl+n ( Navigator) เลือก Custom Indicators แล้วเลือก Macd จากนั้น คลิกขวา เลือก Set hotkey

      ตัวอย่างการ Set hotkey ของ 9prof นะครับ

      ช่อง Control จะมีให้เราเลือก 2 อัน คือ Ctrl กับ Atl  และช่อง key ให้เราใส่ตัวอักษร หรือตัวเลข ที่เราต้องการกำหนดลงไป
      จากตัวอย่าง ถ้าผมต้องการจะ Buy ผมก็กด alt+b  , Sell กด atl+S  ประมาณนี้ครับ
      hotkey สามารถช่วยเราได้เยอะนะครับ ลองเข้าไปหาสคริป หรือ EA ต่างใน Forum นี้นะครับ แล้วเอา Scripts กับ EA เหล่านี้มากำหนด Hot key ของเราลงไป http://www.forexfactory.com/showthread.php?t=193727

      วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ เด๋ววันหน้ามาต่อให้ มีอีกเยอะครับ ขอให้ใช้ Hotkey , Scripts , Expert Advisor ให้เกิดประโยชน์นะครับ

      วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

      คำสั่งพิเศษ Scripts Close all สำหรับใช้ปิดออเดอร์

      การใช้คำสั่งปิดออเดอร์ทั้งหมดที่เราได้เปิดไว้โดยใช้ Scripts Close all ในโปรแกรมเทรด MT4
      สวัสดีครับ ทุกคน มีเพื่อนผมคนนึงครับอยากสั่งปิดออเดอร์ที่เปิดไว้ทั้งหมดทีเดียว เหมือนกับคำสั่ง Close all ใน Marketiva  ผมก็เลยไปหามาให้ครับ และแสดงขั้นตอนการใช้งานทั้งหมดของ Scripts Close All ครับ
      ขั้นตอนการใช้งาน Scipts Close all
      1. ดาวโหลด Scripts  ได้ที่นี่ครับ ดาวโหลด Scripts Close all 
      2. เมื่อดาวโหลด สคริปเรียบร้อยแล้ว ให้ไป Copy Scripts ตัวนี้ไปไว้ใน My Computer >>> Disk C>>>;Program File >>>> Insta trader ( หรือ Forex Broker ของเราเอง ) >>> Experts >>> Scripts จากนั้น paste
      3. เมื่อวางเสร็จ ให้ปิดโปรแกรมเทรด MT4 ก่อน แล้วเปิดขึ้นมาใหม่
      4. จากนั้นไปที่ Tools--->Options จากนั้น คลิกตามรูปด้านล่าง ครับ


      5.จากนั้นให้เปิด Navigators หรือกด Ctrl+N ก็ได้ แล้วเลือก Script ( Close all Open and pending orders) แล้วลากไปใส่กราฟเลยครับ ดังรูป

      นี่เป็นตัวอย่างที่ผมเปิดออเดอร์ไว้เพื่อทดสอบ สคริป Closse all

      ลาก Scripts Close all open and pending order มาไว้บนกราฟ

      จากนั้น สคริปก็จะทำงานครับ ปิดเร็วหรือไม่เร็ว ขึ้นอยู่กับความเร็วของอินเตอร์เนตของเราด้วยนะครับ แต่ผมรับรองว่าปิดเร็วกว่าปิดมือแน่นอน ออเดอร์ของผมทั้งหมดปิดภายใน 10 วินาที

      อีกหนึ่งตัวอย่างครับ ของแถม เอาไว้ตั้งเวลาปิดได้  เช่น สมมติว่าผมเปิดออเดอร์ไว้ที่ สิบโมงเช้า แล้วผมอยากปิดออเดอร์ที่ 10.30 น ผมก็สามารถใช้อีเอตัวนี้ได้
      การติดตั้ง
      1. ดาวโหลด EA ได้ที่นี่ ดาวโหลด Close_open_order_by_set_pair_set_account_set_time_EA
      2. Copy File ไปไว้ที่ My Computer >> Disk C >> Program file >> Insta( your Broker) >>Expert จากนั้นก็ Paste วางอีเอลงไปเลยครับ
      3.ปิดโปรแกรมเทรด แล้วเปิดขึ้นมาใหม่
      4. เลือก Navigators หรือกด Ctrl+N แล้วเลือก Expert Advisors >> จากนั้นเลือก Close Open order by set pair set time EA  แล้วลากไปใส่กราฟเลยครับ จากนั้นก็ตั้งค่า
      สมมติว่าผมเทรดที่ 7 GMT ต้องการปิดที่ 7.01 GMT  ก็ต้องCloseHour = 7,  CloseMinute=1 ดังรูปด้านล่างครับ


      แล้วก็กด OK เลยครับ เมื่อถึงเวลาที่เราตั้งไว้ ออเดอร์ของเราก็จะปิดทันทีครับ

      วันนี้ 9prof ใจดี ขอแถมอีกหนึ่งครับ เป็น อีเอ  Close Open Orders by set Pair After set Accountprofit EA  ตัวนี้เป็น อีเอสำหรับปิดเมื่อเราได้กำไรแล้ว สามารถตั้งค่าได้ ลองเอาไปใช้กันนะครับ
       สามารถเข้าไปเลือก Scripts พิเศษไว้ใช้งาน ได้ที่ http://www.forexfactory.com/showthread.php?t=193727

      วันนี้ 9prof ขอจบเพียงเท่านี้นะครับ ใครมีคำถาม ถามได้เลย ที่ช่องคอมเม้น ครับ ขอบคุณมากครับ

      วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

      วิธีการเทรดข่าวนอนฟามในสไตล์ของ 9professionaltrader (Trading Non-Farm Payroll Style 9Professionaltrader)

      วิธีการเทรดข่าวนอนฟามในสไตล์ของ 9professionaltrader (Trading Non-Farm Payroll Style 9Professionaltrader) 
      การเทรดข่าวนอนฟาม Non-Farm Payroll วิธีนี้ ที่ผมได้ใช้เป็นประจำในการเทรดข่าวนอนฟาม นอกจากข่าวนอนฟามแล้ว ก็ยังสามารถใช้กับการเทรดข่าวแดงๆแรงๆ (High Impact) ได้ทุกข่าว หลักการนี้ผมจะเรียกมันว่า Break out Entry Setting การตั้งราคาเข้าเมื่อมันทะลุ  (ชื่อนี้คิดสดๆเลยครับ) หลักการของมันคือ
      -เราจะตั้งราคาไว้ล่วงหน้าที่ราคาสูงสุดและต่ำสุดของช่วงที่ผ่านมา คือจะตั้ง Buy Stop ไว้ที่ High และ Sell Stop ไว้ที่ Low
      -เมื่อราคาวิ่งทะลุขึ้นด้านบนก็จะชนราคา Buy stop ที่เราได้ตั้งไว้ และเมื่อ ราคาวิ่งลงมาทะลุ Low ด้านล่างก็จะชน Sell Stop ที่เราได้ตั้งไว้
      -การตั้ง Stop Loss  การตั้ง Stop Loss ของ Buy ให้ตั้งที่ ตำแหน่ง Sell Stop บวกไปอีกห้าจุด หรือหาจุด Low ที่ใกล้เคียงกับราคา Sell Stop ในช่วงนั้นๆ และการตั้ง Stop Loss ของ Sell Stop ก็ตั้งที่ตำแหน่ง Buy stop บวกไปอีก ห้าจุด หรือตั้งที่จุดใกล้เคียงกับราคา Buy Stop ในช่วงเวลานั้นๆ
      -คำถาม ? อ้าวแล้วถ้ามันวิ่งชนสองฝั่ง ทำไงล่ะ
      ตอบ ก็โดน Stop loss ทั้งสองฝั่งไงครับ เสียเบิ้ลเลย เสียสองทาง เพราะฉะนั้นเราควรหาตำแหน่ง Stop Loss ให้เหมาะสม
      - อีกหนึ่งคำถาม มีวิธีแก้ไขมั้ย แบบนี้ ถ้าผมไม่ตั้ง Stop Loss จะได้มั้ย เผื่อมันวิ่งสองฝั่งผมจะได้กินทั้งสองฝั่งเลย
       ตอบ  ก็ได้ครับ แต่ถ้ามันวิ่งชน Stop order คุณทั้งสองฝั่ง แล้วมันตัดสินใจไปทิศทางใดทิศทางหนึ่งคุณต้องตัดอีกพอร์ตทันที ไม่งั้นมันลากคุณยาวแน่ๆ อีกวิธีก็คือ ปล่อยให้ราคาลากไป แล้วไปปิดออเดอร์ที่บวกที่แนวรับแนวต้านใหญ่ๆ จากนั้นก็รอราคาเด้งกลับ พอร์ตคุณก็จะมีกำไรละ แต่ผมแนะนำให้ตั้ง Stop Loss ดีกว่า จะได้ไม่ต้องเครียดทีหลัง ติดลบนานๆมันเครียด เกิดอาการจิตตก หลอนประสาท
      ด้านล่างนี้เป็นรูปตัวอย่างการเทรดข่าวนอนฟาม (Trading non-farm news)
      เป็นกราฟของวันศุกร์ที่ 3 ของเดือนกันยายน 2553 เวลา 19.30 ข่าวนอนฟามจะมีเฉพาะศุกร์แรกของทุกๆเดือน ดูรูปกันเลยครับ
      การเทรดข่าวนอนฟาม
      การเทรดข่าวนอนฟาม (Trading non-farm payroll) ณ วันศุกร์ที่ 3 เดือนกันยายน 2553 เวลา 19.30 น คู่เงิน GBP/USD
      หากเพื่อนๆคนไหนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเทรดข่าว สามารถถามได้นะครับ ยินดีตอบให้เสมอ .. 9prof
      อย่าลืม สมัครสมาชิก บัญชี google gmail เพื่อเป็นผู้ติดตาม Blog กันนะครับ ที่เมนูด้านล่าง

      วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

      การใช้ Bollinger band ควบคู่ไปกับ Relative Strength Index และ Stochastic Slow ในตลาดฟอเร็กซ์

      การใช้ Bollinger band ควบคู่ไปกับ Relative Strength Index และ Stochastic Slow ในตลาดฟอเร็กซ์
      บทความนี้ได้มีเพื่อนผมคนนึงครับบอกชื่อเลยละกัน kt2008(user ในมาเก็ตติว่านะครับ) บอกให้ผมช่วยหา Indicators ที่ใช้ควบคู่กับ Bollinger Band หน่อย ซึ่งตอนนั้นผมก็ตอบเพื่อนคนนี้อย่างรวดเร็วไปว่า "เออ ใช้กับ Stochastic Slow ว่ะ"ซึ่งผมยังไม่ได้บอกมันเลยครับ ว่าผมไม่ได้บอกทั้งหมดว่าใช้กับ RSI ได้ด้วย  แต่ว่าใช้ได้เหมือนกัน เพียงแต่ Stochastic บอกสัญญาณที่เร็วกว่า Relativa Strength Index (Rsi)  Oscillators ที่บอกสัญญาณได้เร็วอันดับแรกก็คือ Commodity Channel Index (CCI) และรองลงมาก็คือ Stochatic  สองตัวนี้จะเหมาะสมกับกราฟพักตัว หรือที่เรียกว่ากราฟไซเวย์(Sideway) นั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่าได้ใช้อินดิเคเตอร์สองตัวนี้ในการเล่นกราฟที่มีแนวโน้มไปทางเดียวเด็ดขาด เพราะคุณอาจจะถูกหลอกว่ามัน Over Bought (OB= ภาวะตลาดมีแรงซื้อเยอะเกิน )ในช่วงขาขึ้น และภาวะตลาดที่มีแรงขายเยอะเกิน (Over Sold) ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่นักลงทุนตกใจ อย่าพยายามคิดว่า มันสุดแล้วหน่า Sell ดีกว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้าครับ   เพราะฉะนั้นคุณควรจะศึกษา Elliott wave หรือหาจัดกลับตัวจากการใช้ Fibonacci กันด้วยครับ ทั้งสองสิ่งนี้มันจะทำให้เรารู้ว่ากราฟจะพักตัวตรงไหน จะกลับตัวตรงไหน สามารถพยากรณ์ช่วยเราได้
      InstaForex
      เปิดบัญชี โบรกเกอร์ Instaforex Rebate 50%



      สำหรับบทความนี้นะครับ จะเป็นเรื่อง การใช้  Bollinger Band ผมจะอธิบายตามหลักที่ผมเข้าใจนะครับ
      Bollinger Band คือเส้นที่อยู่เหนือราคา และอยู่ตำกว่าราคา สองเส้นนี้จะเป็นกรอบที่ห้อมล้อมราคาไว้ และสามารถบอกเราให้รู้ว่า ราคาควรจะอยู่ในช่วงไหน ซึ่งนี้แหระครับ คือความมหัศจรรย์ของมัน หลายคนอาจจะมีมองข้ามสิ่งที่ง่ายๆไป สิ่งที่สามารถทำกำไรได้ โดยที่ไม่รู้ว่า พื้นฐานนี่แหระครับ เป็นสิ่งที่ดี (Basis(c) is the best ) โบลินเจอร์แบนจะประกอบด้วยทั้งหมด 3 เส้น ในกรณีที่อยู๋ในกราฟ MT4 นะครับ แต่ถ้าอยู่ใน Marketiva จะมีสองเส้น (ให้เพิ่มเส้น MA 20 เข้าไปเพื่อให้มีสามเส้นเหมือนกับ mt4 )
      Bollinger band ประกอบด้วย 1. Upper Line เส้นบนสุด  2.Middle Band เส้นกลาง 3. Lower Line เส้นล่างสุด  เส้นกลาง Middle Line ผมจะเรียกมันว่า เส้น Pivot จะใช้เป็นจุดกึ่งกลางของช่วงที่ราคาเคลื่อนที่ โดยกฎทั่วไปของ Bollinger band  ผมจะพิจารณาเป็นสองช่วงนะครับ ช่วงแรกคือกราฟวิ่งทางเดียว หรือที่เรียกว่า กราฟมีแนวโน้มที่ชัดเจน และช่วงที่สองคือ ช่วงกราฟวิ่งขึ้นวิ่งลงเป็น Flat(ขนานในแนวระนาบ) หรือที่เรียกว่ากราฟ Sideway (เหมาะมากกับการใช้โบลินเจอร์แบน)
      เรามาดูแบบแรกกันก่อนนะครับ
      สภาวะขาขึ้น Bullish 
      -ช่วงที่มีแนวโน้มชัดเจน ถ้าเป็นขาขึ้น (Bullish) กราฟจะเกาะเส้นบน (Upper Line ) ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีการพักตัว
      -เมื่อกราฟพักตัวแล้วราคามีการปรับตัวลงมา แต่ราคาไม่สามารถทะลุเส้น Middle Band ไปได้ นั่นหมายความว่า ราคายังจะคงขึ้นต่อไปจนกว่าจะไปชนเส้นบน Upper line อีกครั้ง
      -แล้วจุดกลับตัวดูยังไง
         จุดกลับตัวก็ดูจากราคาปิดของแท่งเทียน ถ้าราคาปิดของแท่งเทียนปิดต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของแท่งมันเอง นั่นหมายความว่า แนวโน้มของกราฟกำลังจะกลับตัวลงมาที่เส้น Middle Line อีกครั้ง
      -แล้วเราจะใช้กับ Time frame ไหน จึงจะเหมาะสมที่สุด
      Time Frame หรือ ช่วงเวลาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับตัวคุณเองว่าเล่นสั้น(Short term Trading) หรือเส้นยาว(Long Term Trading) ถ้าเล่นสั้นๆ ก็ใช้ Tf 5 15 นาที แต่ถ้าเล่นยาวๆ ก็ควรจะใช้ มากกว่า 1 H แต่โดยส่วนตัวผมแล้ว ผมใช้กับกราฟ 30 นาที ถือว่าเหมาะสมกับผมที่สุด
      ต่อไปเรามาดูสภาวะที่เป็นขาลง Bearish กันบ้างครับ
      สภาวะขาลงก็ตรงกันข้ามกับขาขึ้น แต่สภาวะขาลงจะเล่นสนุกกว่าขาขึ้น เพราะลงมากกว่าขึ้น และใช้เวลาน้อยกว่า เทรดเดอร์บางคนรอเล่นเฉพาะขาลง เพราะมันได้กำไรเร็ว
      -ถ้าราคาเกาะเส้นล่าง Lower line ไปเรื่อย แสดงแนวโน้มของขาลงยังคงไปต่อ และยังไม่จบอย่างง่ายๆ โดยเฉพาะถ้าแท่งเทียนปิดต่ำกว่าครึ่งของแท่งมันเอง เป็นสัญญาณบอกได้ชัดเจนว่าลงต่อ อย่างแน่นอน
      -เมื่อราคามีการพักตัวราคาจะดีดกลับมาที่เส้น Middle Line แต่โดยส่วนมาก ราคามักจะไม่ผ่านเส้นกึ่งกลางนี้
      -เมื่อราคาเกิดการพักตัวจะ Side way ไปหาเส้น Middle Line แล้วเมื่อไปชนเส้นนี้ แล้วมีแท่งเทียนขาลงเกิดขึ้น แสดงว่าแนวโน้มยังคงลงต่อไปและไปหาเส้นล่าง(Lower Line ) เสมอ

      -แล้วจุดกลับตัวล่ะ ดูยังไง
      จุดกลับตัวก็ดูตรงข้ามกับกราฟขาขึ้น จุดกลับตัวของกราฟขาลง ถ้าราคาทะลุเส้นโบลินเจอร์แบนลงไปแล้ว เด้งกลับขึ้นมาแล้วลักษณะของแท่งเทียนแสดงเป็นลักษณะ โดจิ ค้อน หรือดูราคาปิดก็ได้ ถ้าราคาปิด ปิดสูงกว่ากึงกลางของแท่ง ก็แสดงว่า เริ่มจะกลับตัว

      ช่วงที่สอง กราฟวิ่งขึ้นวิ่งลง หรือเรียกกันว่ากราฟไซด์เวย์ นั่นเอง
      กราฟไซเวย์ดูง่ายครับ ถ้าใช้ Bollinger Band ลักษณะของโบลินเจอร์จะเป็นช่องขนานไปกับแนวระนาน โดยที่
      - เส้นบนจะกลายเป็นแนวต้านทันที นั่นหมายความว่า ถ้าราคาขึ้นไปแล้วไม่ผ่าน มันก็จะวิ่งลงมาหาเส้นล่าง แล้วถ้าไม่ผ่านเส้นล่าง ก็ขึ้นไปหาเส้นบน จะเป็นแบบนี้ตลอด
      -แล้วมันจะแบบนี้ตลอดเลยเหรอ
      มันจะเป็นแบบนี้เฉพาะช่วงไซย์เวย์หนักๆเท่านั้น โดยส่วนมาก จะไม่เกิน 3 Top 3 Bottom ถ้าเกินคือกราฟเริ่มสะสมแรงเพื่อไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
      - แล้วมีจุดสังเกตมั้ยว่ากราฟกำลังสะสมกำลังจะพุ่ง
         ดูง่ายๆเลยครับ ถ้าโบลินเจอร์แบนลู่เข้าหากัน หมายความว่า เป็นลักษณะคอคอด หรือขอขวดนัั่นแหระ ให้้เตรียมพร้อมไว้เลย ว่ากราฟจะกำลังจะไปในทิศทางใด ทิศทางหนึ่ง
      วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ ผมให้การบ้านกับคนที่อ่านทุกคน จินตนาการตามที่ได้อ่าน แล้วลองดูกราฟ ตอนนี้ผมยังไม่ทำรูปให้ดู แล้วมาดูกันว่า รูปตามจินตนาการของคุณกับของ 9prof จะเหมือนกันมั้ยครับ ฝากไว้เป็นการบ้านนะครับ

      มาดูกันต่อนะครับ ว่า  Bollinger band มีวิธีใช้อย่างไร
      1.Up Trend ชนขอบบนแล้วทะลุ และราคาเกาะเส้น Upper Line ไปเรื่อยๆ นั่นหมายความว่า UpTrend Strong แนวโน้มขาขึ้นยังคงไปได้เรื่อยๆ
      ดูรูปตัวอย่างด้านล่างครับ


      2.DownTrend ชนขอบล่างแล้วทะลุขอบล่างลงมา เมื่อราคาเกาะขอบล่างลงมา ราคาจะไปต่อได้เรื่อยๆ วิธีสังเกตคือ ถ้าราคาปิดของแท่งเทียนปิดใกล้กับเส้นขอบล่าง นั่นหมายความว่า แนวโน้มลงยังคงดำเนินต่อไป และแนวโน้มขาลงมักจะเคลื่อนที่แบบต่อเนื่อง และรวดเร็วกว่าแนวโน้มขาขึ้นมากๆ
      ดูตัวอย่าง แนวโน้มขาลงจาก Bollinger band กันเลยครับ



      3.Sideway  เมื่อราคาไซด์เวย์ โบลินเจอร์แบนจะเคลื่อนตัวขนานราบ (Flat) หลักการเทรดด้วย Flat แบบนี้ก็คือ เมื่อราคาชนขอบบนแล้วมีแท่งเทียนกลับตัว ให้เปิดออเดอร์ Sell ทันที และเมื่อราคาชนขอบล่างแล้วมีแท่งเทียนกลับตัวขึ้นไป ให้เปิดออเดอร์ Buy ทันทีครับ ดังรูปตัวอย่างด้านล่าง

      ด้านบนเป็นตัวอย่างการเข้าซื้อ ขายโดยใช้ Bollinger Band นะครับ จากรูปดูเหมือนง่ายนะครับ เพราะว่ามันเป็นกราฟย้อนหลัง การดูสัญญาณเพียวๆจากโบลินเจอร์แบนตัวเดียวค่อนข้างจะยากนิดนึงครับ เราต้องอาศัยดูแท่งเทียนตอนกลับตัวด้วย แต่อินดี้ตัวนี้จะเหมาะกับพวกชาวสวนมากกว่า เพราะฉะนั้น ผมจึงต้องหาอินดิเคเตอร์อีกตัวเพื่อเป็นตัวกรองสัญญาณอีกทีครับ เพื่อใช้ร่วมกับ Bollinger band

      Indicator ตัวแรกที่ใช้กับ Bolinger band คือ Relative Strength Index (RSI) ; RSI เป็นตัวชี้วัดที่บอก Overbought ( Above 70 ) และ OverSold (Below 30)  และ Pivot (50 level)

      1. RSI อยู่เหนือ Level 70 ; แบบนี้บ่งบอกว่าราคาได้ขึ้นมากแล้ว และกำลังจะกลับตัว ดูกราฟเลยครับ

      2.Rsi อยู่ต่ำกว่า Level 30 ; ถ้า Rsi บ่งบอกแบบนี้หมายความว่า ราคาได้ลงมามากแล้ว และพร้อมที่จะกลับตัวขึ้นไปอีกครั้ง ดูภาพด้านล่างประกอบเลยครับ


      จากรูปเห็นมั้ยครับ Rsi เกิด Oversold แล้วขณะที่ราคาแท่งเทียนทะลุขอบล่างแล้วกลับตัวขึ้นไปอีก แบบนี้ให้เราสังเกตไว้เลยครับ ว่าถ้า Rsi เกิด Oversold แล้วมีแท่งเทียนกลับตัว ให้เราเตรียมตัวเปิดออเดอร์ Buy ได้เลยครับ แล้วตั้ง Stop Loss ไว้ที่ Low ของแท่งเทียนก่อนหน้านั้น

      3. RSI ที่ Level 50 (Pivot) โดยส่วนมากนะครับ Level 50 นี้ จะมีสำคัญมาก เทรดเดอร์บางท่านใช้ Level 50 นี้แหระครับ ในการตัดสินใจเทรด ถ้าทะลุ Level 50 ขึ้นไปก็ Buy ตาม แต่ถ้า Rsi ทะลุ Level 50 ลงมา ก็ Sell ตาม ดังรูปด้านล่างครับ

      การใช้ Bollinger Band ควบคู่กับ RSI ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถทำกำไรได้ง่าย แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเรานะครับ บางครั้งผมเห็นสัญญาณกลับตัว ก็ยังไม่กล้าเข้าเลย ก็เพราะความกลัวนี่แหระครับ ทำให้พลาดโอกาสหลายๆครั้ง เพราะฉะนั้นเทรดเดอร์ควรจะชนะความกลัวของตัวเองก่อนนะครับ จึงจะประสบความสำเร็จจากการเทรด โชคดีครับ 9prof

      วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

      วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

      การใช้ Fibonacci Retracement

      Fibonacci เป็นเครื่องมือเครื่องมือที่ใช้วัดหา แนวรับ –แนวต้านและหาราคาเป้าหมายของราคาในตลาดForex เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ใช้กันมากเพราะ Fibonacci ใช้ง่าย และเป็นพื้นฐานที่เราควรจะรู้
      สัดส่วนของ fibonacci ได้แก่ 0 (0%) , 0.236(23.6%) ,0.382(38.2%) ,0.500(50%),0.618(61.8%) , 0.764(76.4%) , 1.00(100%), 1.382(138.2%) , 1.618(161.8%) , 2.618(261.8%) และ 4.236(423.6%) ดังรูปด้านล่าง
      fibonacci-retracment
      วิธีการใช้ Fibonacci ก่อนอื่น เรามาตั้งค่า Fibonacci ในโปรแกรม Mt4 ของเราก่อน ถ้าใครยังไม่รู้ ให้ไปดาวโหลดและดูวิธีการสมัครขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม Mt4 สำหรับเทรด forex
      เลือก Fibonacci โดยเข้าไปที่ Insert >> Fibonacci >> Retracement แล้วก็เอามาลากบนกราฟ โดย Fibonacci แบบเดิมๆ ที่ให้มากับ Mt4 จะไม่มีราคาติดอยู่ที่ระดับต่างๆของ Fibonacci ดังรูปด้านล่าง
      fibonacci-retracment
      -เมื่อเรามี Fibonacci อยู่บน Chart แล้ว ให้ คลิกขวาที่ Chart เลือก Objects List แล้วเลือก Fibo จากนั้นเลือก Edit
      -เมื่อคลิกที่ Edit แล้ว ให้คลิกที่ Fibo Levels จากนั้นให้เติมคำว่า =%$ ลงไปต่อท้ายที่ช่อง Descriptions ทุกตัว
      Edit-fibo
      -เมื่อ ทำเสร็จแล้วจะได้ดังรูป
      fibonacci-retracment-1
      การใช้ Fibonacci Retracement
      1. ใช้เพื่อหาแนวรับแนวต้าน (Support and Resistance)
      -หา จุดต่ำสุด(Low) และ หาจุดสูงสุด High ก่อน โดยหาจากยอดคลื่นล่าสุด และ ก้นบึ้งล่าสุด ดังรูป
      fibonacci-retracment
      เมื่อราคาได้เคลื่อนตัวลงมาแล้ว ราคาจะขึ้นไปปรับตัวที่ระดับ Fibonacci Retracement 38.2 , 50.0 และ 61.8 เราสามารถใช้ จุดเหล่านี้เป็นแนวต้านของราคาได้ ถ้าราคาไม่สามารถผ่านแนวต้าน (resistance ) นี้ได้ ราคาก็จะปรับตัวลงต่อ และมาทดสอบที่ Low เดิม แต่ถ้าสามารถผ่าน แนวต้านนี้ได้ ราคาก็จะกลับไปทดสอบ High เดิม เช่นเดียวกัน
      2.ใช้ Fibonacci Retracement เพื่อหาราคาเป้าหมาย (Target price )
      -ทุกๆครั้งที่เราทำการเข้าเทรด เมื่อเข้าไปแล้ว เราก็ต้องหาราคาเป้าหมาย ว่ามันควรจะไปถึงไหน ซึ่ง Fibonacci Retracement สามารถบอกเราได้ ว่ามันควรจะไปแค่ไหน แต่จงจำไว้นะครับ ว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่การคาดการณ์ ไม่ได้ตรงแปะเสมอไป
      fibonacci-retracment
      จากรูปด้านบน จะเห็นว่า ราคาสวิงขึ้นจาก Low ไปที่ High แล้วราคามีการปรับตัวลงมา ตำแหน่งที่ปรับฐาน หรือ แนวรับ ที่เราควรจะสังเกตก็คือ ที่ระดับ Fibonacci Retracement 61.8 , 50.0 และ 38.2 จากรูปด้านบนจะเห็นว่าราคาไม่สามารถผ่าน 50.0 ไปได้ หรือบางครั้งเราอาจจะเรียกตำแหน่งนี้ว่า Pivot Point เมื่อราคาดีดตัว ตรงนี้ เราก็คาดการณ์ได้เลย ว่ามันต้องขึ้นแน่ๆ ก็ เปิด Long (Buy) ได้เลย แล้ว ตั้ง TARGET ไว้ที่ Fibonacci Retracement 161.8
      หวังว่าวิธีนี้คงเป็นประโยชน์ กับเพื่อนๆนะครับ หากมีข้อสงสัยอะไร สามารถ Comment ไว้เลยนะครับ ผมจะกลับมาตอบให้

      วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

      The 5 Steps to becoming a trader

      The 5 Steps to becoming a trader


      Step One: Unconscious Incompetence.


      This is the first step you take when starting to look into trading. you know that its a good way of making money because you've heard so many things about it and heard of so many millionaires. Unfortunately, just like when you first desire to drive a car you think it will be easy - after all, how hard can it be? Price either moves up or down - what's the big secret to that then - lets get cracking!
      Unfortunately, just as when you first take your place in front of a steering wheel you find very quickly that you haven't got the first clue about what you're trying to do. You take lots of trades and lots of risks. When you enter a trade it turns against you so you reverse and it turns again .. and again, and again.
      You may have initial success, and thats even worse - cos it tells your brain that this really is simple and you start to risk more money.
      You try to turn around your losses by doubling up every time you trade. Sometimes you'll get away with it but more often than not you will come away scathed and bruised You are totally oblivious to your incompetence at trading.
      This step can last for a week or two of trading but the market is usually swift and you move onth the next stage.

      Step Two - Conscious Incompetence


      Step two is where you realise that there is more work involved in trading and that you might actually have to work a few things out. You consciously realise that you are an incompetent trader - you don't have the skills or the insight to turn a regular profit.
      You now set about buying systems and e-books galore, read websites based everywhere from USA to the Ukraine. and begin your search for the holy grail. During this time you will be a system nomad - you will flick from method to method day by day and week by week never sticking with one long enough to actually see if it does work. Every time you come upon a new indicator you'll be ecstatic that this is the one that will make all the difference.
      You will test out automated systems on Metatrader, you'll play with moving averages, Fibonacci lines, support & resistance, Pivots, Fractals, Divergence, DMI, ADX, and a hundred other things all in the vein hope that your 'magic system' starts today. You'll be a top and bottom picker, trying to find the exact point of reversal with your indicators and you'll find yourself chasing losing trades and even adding to them because you are so sure you are right.
      You'll go into the live chat room and see other traders making pips and you want to know why it's not you - you'll ask a million questions, some of which are so dumb that looking back you feel a bit silly. You'll then reach the point where you think all the ones who are calling pips after pips are liars - they cant be making that amount because you've studied and you don't make that, you know as much as they do and they must be lying. But they're in there day after day and their account just grows whilst yours falls.
      You will be like a teenager - the traders that make money will freely give you advice but you're stubborn and think that you know best - you take no notice and overtrade your account even though everyone says you are mad to - but you know better. You'll consider following the calls that others make but even then it wont work so you try paying for signals from someone else - they don't work for you either.
      You might even approach a 'guru' like Rob Booker or someone on a chat board who promises to make you into a trader(usually for a fee of course). Whether the guru is good or not you wont win because there is no replacement for screen time and you still think you know best.
      This step can last ages and ages - in fact in reality talking with other traders as well as personal experience confirms that it can easily last well over a year and more nearer 3 years. This is also the step when you are most likely to give up through sheer frustration.
      Around 60% of new traders die out in the first 3 months - they give up and this is good - think about it - if trading was easy we would all be millionaires. another 20% keep going for a year and then in desperation take risks guaranteed to blow their account which of course it does.
      What may suprise you is that of the remaining 20% all of them will last around 3 years - and they will think they are safe in the water - but even at 3 years only a further 5-10% will continue and go on to actually make money consistently.
      By the way - they are real figures, not just some ive picked out of my head - so when you get to 3 years in the game dont think its plain sailing from there.
      Iv had many people argue with me about these timescales - funny enough none of them have been trading for more that 3 years - if you think you know better then ask on a board for someone who's been trading 5 years and ask them how long it takes to become fully 100% proficient. Sure i guess there will be exceptions to the rle - but i havent met any yet.
      Eventually you do begin to come out of this phase. You've probably committed more time and money than you ever thought you would, lost 2 or 3 loaded accounts and all but given up maybe 3 or 4 times but now its in your blood
      One day - im a split second moment you will enter stage 3.

      Step 3 - The Eureka Moment


      Towards the end of stage two you begin to realise that it's not the system that is making the difference. You realise that its actually possible to make money with a simple moving average and nothing else IF you can get your head and money management right You start to read books on the psychology of trading and identify with the characters portrayed in those books and finally comes the eureka moment.
      The eureka moment causes a new connection to be made in your brain. You suddenly realise that neither you, nor anyone else can accurately predict what the market will do in the next ten seconds, never mind the next 20 mins.
      Because of this revelation you stop taking any notice of what anyone thinks - what this news item will do, and what that event will do to the markets. You become an individual with your own method of trading
      You start to work just one system that you mould to your own way of trading, you're starting to get happy and you define your risk threshold.
      You start to take every trade that your 'edge' shows has a good probability of winning with. When the trade turns bad you don't get angry or even because you know in your head that as you couldn't possibly predict it it isn't your fault - as soon as you realise that the trade is bad you close it . The next trade or the one after it or the one after that will have higher odds of success because you know your system works.
      You stop looking at trading results from a trade-to-trade perspective and start to look at weekly figures knowing that one bad trade does not a poor system make.
      You have realised in an instant that the trading game is about one thing - consistency of your 'edge' and your discipline to take all the trades no matter what as you know the probabilities stack in your favour.
      You learn about proper money management and leverage - risk of account etc etc - and this time it actually soaks in and you think back to those who advised the same thing a year ago with a smile. You weren't ready then, but you are now. The eureka moment came the moment that you truly accepted that you cannot predict the market.

      Step 4 - Conscious Competence


      You are making trades whenever your system tells you to. You take losses just as easily as you take wins You now let your winners run to their conclusion fully accepting the risk and knowing that your system makes more money than it looses and when you're on a loser you close it swiftly with little pain to your account
      You are now at a point where you break even most of the time - day in day out, you will have weeks where you make 100 pips and weeks where you lose 100 pips - generally you are breaking even and not losing money. You are now conscious of the fact that you are making calls that are generally good and you are getting respect from other traders as you chat the day away. You still have to work at it and think about your trades but as this continues you begin to make more money than you lose consistently.
      You'll start the day on a 20 pip win, take a 35 pip loss and have no feelings that you've given those pips back because you know that it will come back again. You will now begin to make consistent pips week in and week out 25 pips one week, 50 the next and so on.
      This lasts about 6 months

      Step Five - Unconscious Competence


      Now we’re cooking - just like driving a car, every day you get in your seat and trade - you do everything now on an unconscious level. You are running on autopilot. You start to pick the really big trades and getting 200 pips in a day doesnt make you any more excited that getting 1 pips.
      You see the newbies in the forum shouting 'go dollar go' as if they are urging on a horse to win in the grand national and you see yourself - but many years ago now.
      This is trading utopia - you have mastered your emotions and you are now a trader with a rapidly growing account.
      You're a star in the trading chat room and people listen to what you say. You recognise yourself in their questions from about two years ago. You pass on your advice but you know most of it is futile because they're teenagers - some of them will get to where you are - some will do it fast and others will be slower - literally dozens and dozens will never get past stage two, but a few will.
      Trading is no longer exciting - in fact it's probably boring you to bits - like everything in life when you get good at it or do it for your job - it gets boring - you're doing your job and that's that.
      Finally you grow out of the chat rooms and find a few choice people who you converse with about the markets without being influenced at all.
      All the time you are honing your methods to extract the maximum profit from the market without increasing risk. Your method of trading doesnt change - it just gets better - you now have what women call 'intuition'
      You can now say with your head held high "I'm a currency trader" but to be honest you dont even bother telling anyone - it's a job like any other.
      I hope youve enjoyed reading this journey into a traders mind and that hopefully youve identified with some points in here.
      Remember that only 5% will actually make it - but the reason for that isnt ability, its staying power and the ability to change your perceptions and paradigms as new information comes available.
      The losers are those who wanted to 'get rich quick' but approached the market and within 6 months put on a pair of blinkers so they couldnt see the obvious - a kind of "this is the way i see it and thats that" scenario - refusing to assimilate new information that changes that perception.
      Im happy to tell you that the reason i started trading was because of the 'get rich quick' mindset. Just that now i see it as 'get rich slow'
      If youre thinking about giving up i have one piece of advice for you ....
      Ask yourself the question "how many years would you go to college if you knew for a fact that there was a million dollars a year job at the end of it?

      Share

      Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites